หยกทำวิดีโอสั้น ๆ ภายใน ถ้ำน้ำลอด หรือ ถ้ำลอด มาให้ชมด้วยนะคะ อยู่ด้านล่างสุดเลยค่ะ จะได้เห็นบรรยากาศโดยรวม และอยากจะไปเที่ยวกัน

หากพูดถึง จังหวัดแม่ฮ่องสอน หลาย ๆ คนคงนึกถึง ปาย และ ปางอุ๋ง หากมีน้อยคนนักจะรู้จัก ถ้ำน้ำลอด ที่ถือว่าเป็น Unseen Thailand และ กำลังจะเป็นที่รู้จักอีกแห่ง ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยการที่ ถ้ำน้ำลอด นี้ เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ยังเป็นแหล่งโบราณคดี ที่สำคัญอีกด้วย ใครที่หลงใหลการท่องเที่ยวสถานที่ที่เป็นถ้ำ หยกก็มี ถ้ำธารลอด ที่อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จ.กาญจนบุรี ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มาแนะนำนะคะ ทั้งนี้เพื่อนๆ ชาวสนุกเที่ยวยังสามารถเลือกอ่าน ข้อมูลการท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว ที่แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ตามจังหวัด และ ประเทศ ที่ลิ้งค์สีส้มตรงนี้เลยค่ะ
หากไปเที่ยว แม่ฮ่องสอน ต้องห้ามพลาดอีกที่ นั่นก็คือ ป่าหินงามเมืองปาย ไปเดินป่า ชมหินงาม ๆ ชมธรรมชาติ และเหมาะสำหรับการไปชมพระอาทิตย์ตกด้วยค่ะ หรือจะเป็น อุทยานแห่งชาติสาละวิน ชมความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำสาละวิน

ถ้ำน้ำลอด นี้ อยู่แห่งหนตำบลใด
ถ้ำน้ำลอด หรือ ถ้ำลอด หรือ สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด ตั้งอยู่ที่ ต.ถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ปัจจุบัน อยู่ในความดูแลของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปาย ซึ่งภายในถ้ำนี้ มีหินงอกหินย้อย รูปร่างต่าง ๆ สวยงามมากมาย และ ยังมีการพบเครื่องใช้โบราณ อายุกว่า 2,000 ปี อีกด้วย

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์คนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? สโลเวเนีย? ศรีลังกา? หยกจัดทริปค่ะ
สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
เวลาเปิด – ปิด ของ ถ้ำน้ำลอด
เราสามารถเที่ยว ถ้ำลอด ได้ทั้งปี มีการจัดการรองรับการท่องเที่ยว โดยชุมชนรอบถ้ำ ร่วมกับ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 – 17.30 น.
ข้อควรรู้
ถึงแม้ ถ้ำลอด จะเปิดให้ท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูฝน จะมีเพียงแต่ถ้ำที่ 1 เท่านั้น ที่ให้เข้าชมได้ ส่วนถ้ำที่ 2 และ 3 นั้น จะปิด ไม่ให้เข้าชมค่ะ เนื่องด้วยน้ำขึ้นสูง ทำให้บางบริเวณภายในสองถ้ำนี้ จะมีน้ำขัง และ อาจสูงมากในบางบริเวณ

ข้อควรระวัง
ทางไป ถ้ำน้ำลอด จากถนนหลัก ดูกันดี ๆ นะคะ ตามรูป ให้ลงทางซ้าย ที่เหมือนจะเป็นทางเดินรถทางเดียว แต่จริง ๆ คือ แค่ถนนเล็ก รถสวนได้ค่ะ


ข้อควรรู้
เนื่องจากภายใน ถ้ำน้ำลอด นั้นมืดมาก ต้องอาศัยตะเกียงส่องทาง หรือ ไฟฉาย จึงไม่อนุญาต ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมถ้ำ โดยลำพัง จะต้องมีคนนำที่ชำนาญทาง เป็นผู้พานักท่องเที่ยวเดินเข้าไป ให้ถูกจุด และ ไม่ทำลายกลุ่มหินงอกหินย้อยต่าง ๆ ภายในถ้ำค่ะ พร้อมทั้งจะได้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านจะได้พบเห็น ในแต่ละจุด ภายใน ถ้ำน้ำลอด นั้น มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ส่วนสาเหตุที่ไม่มีการติดตั้งไฟ ก็เพื่อเป็นการรักษา ถ้ำน้ำลอด นี้ ให้สวยงาม และ คงเดิมอยู่ตลอดเวลา อีกทั้ง ยังสร้างรายได้เสริม ให้กับชาวบ้านใกล้เคียง ที่สมัครมาเป็นคนนำทาง ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย โดยผู้ที่จะมาเป็น คนนำทาง ได้นั้น จะต้องมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปค่ะ


ค่าธรรมเนียมเข้า ถ้ำลอด
ค่าบริการตะเกียงเจ้าพายุ 1 ดวง พร้อมผู้นำทาง 1 คน ต่อ นักท่องเที่ยว 1 – 4 คน ราคา 150 บาท
ค่าบริการล่องแพ โดยแพ 1 ลำ เข้าชมถ้ำทั้ง 3 ถ้ำ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งได้ 1 – 4 คน โดยล่องแพ ไป-กลับ 400 บาท, ขาไปขาเดียว (เดินกลับขากลับ) 300 บาท (หากเลือกเข้าชมเพียง 2 ถ้ำ ไป – กลับ 200 บาท)
ส่วนชาวต่างชาติ กำหนด แพละ 1 – 3 คน สงสัยเห็นว่าตัวโตกว่าคนไทยสินะ

นอกจากนั้นยังมี อาหารปลาขาย ที่จุดชำระค่าธรรมเนียม ถุงละ 50 บาท เนื่องจากใน ลำน้ำลาง นั้น มีปลาสีดำตัวโต ๆ มากมาย ซึ่งที่นี่เค้าห้ามจับปลาด้วยนะคะ

ชื่อ ถ้ำน้ำลอด นี้ ท่านได้แต่ใดมา
เมื่อถึงบริเวณปากทางเข้า ถ้ำน้ำลอด หรือ ถ้ำลอด ก็จะร้อง อ่อ กันเป็นแถวค่ะ นั่นเป็นเพราะ ถ้ำแห่งนี้ มี ลำน้ำลาง ไหลผ่านเข้าไปข้างในถ้ำ ตั้งแต่ปากทางเข้า จนไปทะลุออกอีกด้านหนึ่ง


ใน ถ้ำน้ำลอด มีอะไรบ้าง ต้องเดิน นั่งแพ นานหรือไกลแค่ไหน และเพื่อไปดูอะไร
หลังจากชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะชี้ให้เราดู ว่าใครจะมาเป็นผู้นำทาง หรือ ไกด์ ให้เรา โดยไกด์จะหอบหิ้วตะเกียงเจ้าพายุอันใหญ่ ๆ แล้วเดินนำทางเราไป โดยเดินเข้าไปสักประมาณ 350 เมตร ก็จะเห็นปากทางเข้า แล้วไปทำการจุดตะเกียงเจ้าพายุ เตรียมตัวกันค่ะ


การเที่ยวชมถ้ำทั้ง 3 ถ้ำ ใน ถ้ำลอด นั้น จะเริ่มโดยการนั่งแพเข้าไปถ้ำที่ 1 ซึ่งระหว่างทางนั้น จะเห็นปลาตัวโต ๆ มากมายเลยค่ะ ตัวใหญ่มากจริง ๆ

แล้วสักพักเราก็ต้องลงจากแพ แล้วเดินเท้า เข้าไปชมความสวยงามภายในถ้ำที่ 1 ที่มีชื่อว่า “ถ้ำเสาหิน”


จุดเด่นของถ้ำนี้คือ จะมีเสาหินปูนขนาดสูงใหญ่หลายต้น ที่เกิดจากแท่งหินงอกหินย้อย โดยสูงประมาณ 20 เมตร (เสียใจ หยกจำความสูงจริง ๆ ไม่ได้ คุ้น ๆ ว่าน้องไกด์บอก 21.5 เมตร หรือเปล่า? ใครมีข้อมูลความสูงที่แท้จริง คอมเม้นต์บอกหยกที่ข้างล่างด้วยน๊า ขอบคุณค่า)



แล้วก็ไปต่อกันถ้ำที่ 2 กันเลยค่ะ โดยการเดินข้ามสะพานไม้ ไปที่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้นั่งแพนะคะ ถ้ำที่ 2 นี้ ชื่อว่า “ถ้ำตุ๊กตา” โดยถ้ำนี้ เป็นถ้ำที่กว้าง และยาวที่สุด ในบรรดาถ้ำทั้งสาม


ที่เรียกว่า ถ้ำตุ๊กตา ก็เพราะว่า มีหินงอกหินย้อย คล้ายตุ๊กตา เรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก และที่ถ้ำนี้ ยังปรากฎภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ตรงผนังถ้ำ ที่บ่งบอกว่ามีมนุษย์ถ้ำอาศัยอยู่ แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ภาพเขียนเหล่านั้นได้เลือนลางไปค่อนข้างมากแล้ว


จากนั้น ก็นั่งแพต่อไป ที่ถ้ำสุดท้ายกันเลยค่ะ ซึ่งอยู่ตรงทางออกอีกด้านของถ้ำ ชื่อ “ถ้ำผีแมน”

โดยระหว่างทาง ก็จะได้ยินเสียงค้างคาวมากมาย ที่อาศัยอยู่บนเพดานถ้ำ และ ก็จะเริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ ฉุนขึ้น ๆ แรงขึ้น ๆ มันก็คือ กลิ่นของมูลค้างคาว นั่นเองค่ะ หลักฐานชัดเจน ของที่มาของกลิ่นเหล่านี้ สามารถเห็นได้หลังจากลงแพ อย่างทันทีทันใด คือ มูลค้างคาวที่กระจัดกระจาย อยู่ทั่วบริเวณตั้งแต่ทางขึ้นถ้ำเลยค่ะ ไม่เว้นแม้แต่บันได และ ราวบันได โดยบันไดนี้ค่อนข้างชัน แถมขั้นบันไดค่อนข้างเล็กอีกด้วย หากคิดจะจับราวบันได ก็เล็งดี ๆ นะคะ


ถ้ำผีแมน เป็นจุดที่ค้นพบเศษภาชนะดินเผา เมล็ดพืช เครื่องมือหิน กระดูกของมนุษย์ และ โลงศพโบราณ หรือที่เรียกว่า โลงผีแมน มีลักษณะเป็นท่อนไม้ หลากหลายขนาด ที่ถูกขุดตรงส่วนกลางออก ตรงส่วนหัวโลง ยังมีลักษณะแตกต่างกันออกไป แบ่งตามสถานะทางสังคม ของมนุษย์ถ้ำยุคก่อน


และที่แน่ ๆ เหมือนหลาย ๆ ทริป หากใครติดตาม จะทราบว่าหยกชอบซื้อตั๋วเที่ยวเดียว ครั้งนี้ก็เช่นกัน ขากลับขอเดินสูดอากาศบริสุทธิ์หน่อยละกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากกลิ่นมูลค้างคาวเต็มปอดซะขนาดนี้ 555+

“นี่เป็นครั้งแรกที่หนูได้พาเดินกลับค่ะ ทุกคนที่มากับหนู นั่งแพกลับตลอด โดยเฉพาะคนไทย หลาย ๆ คน ไม่ยอมแม้กระทั่งเดินขึ้นไปชมถ้ำซะด้วยซ้ำ นั่งแพมา แล้วก็วกแพกลับออกไปเลยก็มี” น้องไกด์กล่าว

ภายในแต่ละถ้ำ ถึงแม้จะมืดมาก แต่ทางเดินไม่ได้เดินยากมาก แค่ต้องระวังเพราะพื้นไม่เท่ากัน และ ระวังหินงอกหินย้อยที่อยู่ด้านบนหัว แค่นั้นเองค่ะ แล้วอากาศภายในถ้ำ ก็ค่อนข้างสบาย อากาศถ่ายเทดี แถมไหน ๆ ก็นั่งแพเข้ามาถึงด้านในแล้ว ลองเปิดใจแล้วเดินชมถ้ำ ชมความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างดูสิคะ แล้วคุณจะไม่เสียใจเลย ที่ตัดสินใจเดินชมในแต่ละถ้ำ

ทางเดินออกนั้น เป็นทางเดินราบ ๆ ธรรมดาค่ะ สั้น ๆ ประมาณ 400 เมตร (ได้มั้ง) มีต้นไม้มากมายตลอดทาง และ ได้เห็นผนังด้านนอกถ้ำในบางส่วน และมีวัดอยู่กลาง ๆ ทางด้วยนะคะ อากาศบริสุทธิ์ เย็นสบายดีค่ะ กลิ่นมูลค้างคาวที่ติดจมูกนั้น ค่อย ๆ หายไปแล้วอย่างรวดเร็ว


บริการเสริม
ยังมีบริการขี่ม้าด้วยนะคะ โดยเริ่มตั้งแต่ ปากทางเข้า จนถึง ลานจอดรถ ค่าเสียหายอยู่ที่ เด็ก 120 บาท และ ผู้ใหญ่ 150 บาท

ห้องน้ำ ใน ถ้ำน้ำลอด
มีให้บริการอยู่ 2 ที่ค่ะ ที่ด้านหน้า ด้านขวามือของจุดชำระค่าเข้า และอีกที่อยู่ด้านใน ทางด้านซ้ายมือ หลังจากเดินเข้าไปได้สัก 50 เมตร (ฝั่งตรงข้ามคือ อาคารสีแดงของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว)

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์คนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? สโลเวเนีย? ศรีลังกา? หยกจัดทริปค่ะ
สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
ร้านอาหารบริเวณ ถ้ำลอด
มีร้านอาหารอยู่หลายร้านเลยค่ะ ทั้งด้านหน้า และแถว ๆ ลานจอดรถ

ลานจอดรถบริเวณ ถ้ำน้ำลอด
ลานจอดรถที่ ถ้ำลอด ค่อนข้างกว้างและอยู่ในร่มไม้ค่ะ โดยแบ่งบริเวณสำหรับ รถยนต์ และ รถจักรยานยนต์ ด้วยนะคะ



สิ่งที่ควรเตรียม สำหรับการมาท่องเที่ยวใน ถ้ำลอด
- ควรใส่รองเท้าผ้าใบ ทะมัดทะแมง จะได้เดินในถ้ำที่พื้นไม่เรียบ และมืด ๆ สะดวกสบาย และ มั่นคงขึ้น
- ไฟฉาย (ถ้ามี) เพราะข้างในแต่ละถ้ำ ใน ถ้ำน้ำลอด นั้นมืดมาก หากไปกัน 3 – 4 คน ตะเกียงไฟ ของคนนำทาง อาจจะไม่เพียงพอสำหรับทุกคน
- หากท่านอยากได้รูปสวย ๆ ใน ถ้ำน้ำลอด พกขาตั้งกล้องไปด้วยก็ดีค่ะ เพราะมันมืดมาก จะถ่ายรูปทีนี้มือต้องนิ่งมาก ๆ กลั้นหายใจเหนื่อยเลยค่ะ 555+

รู้ไหมคะ ว่าเรายังสามารถ เดินชมถ้ำทั้งไปและกลับ โดยไม่ต้องนั่งแพได้ด้วย เพียงแต่มันจะดีมากเลย หากเราได้ทั้งสองบรรยากาศ ทั้งนั่งแพลอดถ้ำ และเดินด้านนอกถ้ำ ระหว่างทางเดินกลับ หยกกับน้องไกด์คุยกันถูกคอเชียวค่ะ ทั้งเราที่มีความสุข น้องไกด์ก็ดูมีความสุขและไม่เกร็งอีกด้วย นอกจากจะได้ชมธรรมชาติแล้ว ยังได้มิตรภาพดี ๆ กลับมาด้วย 🙂

หากใครมีโอกาสได้ไป ถ้ำลอด หยกหวังว่า ข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ และ ใช้ได้จริง กับทุก ๆ คนนะคะ ใครไปเที่ยวมาแล้ว เจออะไรเจ๋ง ๆ มาเล่าให้หยกกับเพื่อน ๆ ชาวสนุกเที่ยวฟังด้วยนะคะ
มีข้อสงสัย คำถาม หรือ อยากแชร์เรื่องเที่ยว คอมเม้นต์ที่ช่องนี้ได้เลยค่ะ