
ปล. ทริปอินเดีย เป็นทริปเก่า ที่หยกนำมาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ หลังจากโพสต์ก่อนนั้น พาไป ดู หนังอินเดีย ในโรงหนังที่อินเดีย มา
เค้าว่ากันว่า เป็น ผู้หญิงเดินทางตอนกลางคืน นั้นน่ากลัว และ ก็อันตราย ยิ่งถ้าประเทศนั้นๆ พึ่งจะมีข่าวไม่ดี เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวผู้หญิง ระหว่างการใช้รถโดยสารสาธารณะ เช่น การเดินทางด้วย รถไฟอินเดีย ตอนกลางคืน อีกนี่สิ แต่หยกว่า (จริงๆ คือเป็นคนดื้อไง 555+ วางแผนแล้ว ก็ต้องหาทางไปให้ได้)
ถ้าเตรียมตัวดี วางแผนให้พร้อม และระมัดระวัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
มาดูการเตรียมตัวของหยก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความปลอดภัย การซื้อตั๋วรถไฟ การหาชานชาลา เจ้าหน้าที่ และ อาหารบนรถไฟ รวมทั้ง ทริคต่างๆ ที่สำคัญ ต่อการโดยสาร รถไฟอินเดีย ได้ด้วยข้อมูล และ เรื่องเล่าต่อไปนี้ค่ะ
ครั้งนี้ หยกต้องเดินทาง ในประเทศอินเดีย จากเมือง Chennai ไปเมือง Thanjavur เนื่องด้วย ปัจจัยหลายๆ อย่าง จึงต้องเลือก การเดินทางโดย รถไฟอินเดีย และ อยากเดินทางเวลากลางคืน เพราะ ระยะทางค่อนข้างไกล น่าจะใช้เวลาการเดินทางคร่าวๆ ประมาณ 6-10 ชั่วโมง ขึ้นกับ รถแต่ละประเภท และ เนื่องด้วยเมืองที่จะไป ไม่มีสนามบิน หากนั่งเครื่องบินไป ก็ต้องไปต่อรถทัวร์ อีก 3 – 5 ชั่วโมงอยู่ดี

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์คนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? สโลเวเนีย? ศรีลังกา? หยกจัดทริปค่ะ
สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
ก่อนเดินทาง หยกได้ทำการบ้าน เสาะหาข้อมูล เกี่ยวกับ รถไฟอินเดีย และ ความปลอดภัย ทั้งขบวนรถ เวลากลางวัน และ กลางคืน พบว่า มีรถไฟชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องส่วนตัว และ สามารถล๊อคห้อง จากภายในได้ ตอนนั้นดีใจสุดๆ และ เวลาก็เหมาะมาก คือ มี รถไฟ เที่ยวกลางคืน ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 8 ชั่วโมง ออกเดินทาง สี่ทุ่ม และ ถึงจุดหมายปลายทาง ตอนประมาณ หกโมงเช้า พอดี ไม่ต้องเสียเวลาระหว่างวัน เริศสุดๆ
แต่ถ้าจะเสี่ยงไปซื้อตั๋วที่นู้น ก็อาจเต็มสินะ แล้วภาพการโดยสารโดย รถไฟอินเดีย ก็ฝุดขึ้นมาในสมองทันที แบบที่มีคนล้นรถ นั่งกันเต็มบนหลังคา และ ยืนโหนกันเป็นแสน ภายนอกตัวรถไฟ แม้กระทั่งรอยต่อระหว่างโบกี้
อืม ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ การซื้อตั๋วออนไลน์สินะ และ ก็โชคดีค่ะ ที่เราสามารถซื้อตั๋ว รถไฟอินเดีย แบบออนไลน์ได้ แต่ในความโชคดี ก็มักจะมี ความโชคร้าย (เล็กๆ) ปนอยู่ คือ ปัญหามันอยู่ที่ว่า การซื้อตั๋ว รถไฟอินเดีย แบบออนไลน์ได้นั่น จะต้องชำระเงิน ผ่านบัญชีธนาคารที่อินเดีย นั่นหมายถึง ต้องมีบัญชีธนาคารที่อินเดียไง หรือ อีกนัยหนึ่ง (เท่าที่หยกเข้าใจเอง) ก็คือ ต้องเป็นคนอินเดีย หรือ อาศัย หรือ ทำงานที่อินเดีย สินะ จะได้มีบัญชีอยู่ที่นั่น แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้
และแล้ว โชคร้ายเล็กๆ นั่น ก็ได้มลายหายไป
เพราะ หยกเชื่ออยู่เสมอว่า “โชค ย่อมเข้าข้างคนที่พยายาม อยู่เสมอ”
ภาควิชาปริญญาโท ที่หยกเรียนจบมานั้น เป็นโปรแกรมนานาชาติค่ะ แล้วก็มีคนเอเชีย มาเรียนกันมากมาย และ หนึ่งในนั้น ก็มี นักศึกษาชาวอินเดีย หยกจึงมุ่งหน้า ไปขอความช่วยเหลือ อย่างไม่รอช้า หลังจากเล่าความเป็นมาเป็นไป ให้หนุ่มน้อยอินตะระเดียฟัง เค้าก็ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ และ ดีใจอย่างยิ่ง ที่หญิงไทยอยากจะไปเที่ยวประเทศอินเดีย แล้วหยกก็ได้ตั๋วมาอยู่ในกำมือ
ตัดฉากมาในอินเดีย วันที่ต้องเดินทางด้วย รถไฟอินเดีย ตอนกลางคืน

รถไฟออกเวลาสี่ทุ่ม แต่จะให้มาดึกๆ ก็เกรงจะไม่ปลอดภัย จึงมาถึงตั้งแต่ตอนเย็น ด้วยความกังวล กับปัญหาที่พบเจอเป็นประจำ นั่นก็คือ การหาชานชาลาไม่เจอ และ เมื่อหาชานชาลาเจอ ก็หาโบกี้ของตัวเองไม่เจอ โดยหยกได้ ตั้งปฏิธานกับตัวเอง ไว้ว่า จะต้องถามอย่างน้อย 3 คนค่ะ เพื่อให้มั่นใจ ซึ่งเคยพลาดมาแล้วจาก การถามแค่ครั้งเดียว เนื่องด้วยอุปสรรคทางภาษา
แต่ครั้งนี้ โชคดีมากๆ ที่สถานีรถไฟที่นี้ มีจอแสดงเวลารถไฟออก และ หมายเลขชานชาลา เป็นภาษาอังกฤษด้วย เลยไม่ต้องถามใครเลยค่ะ
ทริค 1: กล้าถาม และ ควรถามอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อความแน่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราไปท่องเที่ยวในประเทศที่เราไม่สามารถเข้าใจภาษาของกันและกัน การถามมากกว่า 1 ครั้ง นั้น เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่าสิ่งที่เราถามไปนั่น ผู้ถูกถามเข้าใจแน่ๆ หรือ ในทางกลับกัน เราเข้าใจคำตอบของเค้าจริงๆ
ประสบการณ์ คือ บทเรียนที่สำคัญของชีวิต และ ยังสอนอะไรหลายๆ อย่าง อีกมากมาย รวมถึง การไม่ทำอะไรผิดพลาดซ้ำเดิม แถมยังนำไปประยุกต์ใช้ กับ ชีวิตประจำวันให้ง่ายขึ้น ได้อีกด้วย

ระหว่างนั่งรอรถไฟมาครั้งนี้ ก็ชิวมากๆค่ะ มาถูกชานชาลาแน่นอน ที่เหลือคงแค่หาว่า โบกี้ไหนเท่านั้น จึงนั่งรอ และ เพลิดเพลิน กับการชมบรรยากาศรอบๆ ไป


ทริค 2: อย่าวางกระเป๋าสัมภาระ ไว้ที่ไกลหูไกลตาเด็ดขาด และ ห้ามฝากของไว้กับคนที่ไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่ง กับนักท่องเที่ยวที่พึ่งไปเจอกันที่นู่น ไม่ใช่ว่าเราไม่ไว้ใจเค้านะคะ เพียงแต่ว่าหากเกิดอะไรขึ้น เช่น มีการประท้วง หรือ คนตีกัน แค่ข้าวของสัมภาระของเค้าเองก็มากมายแล้ว หากมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ ด้วยความตกใจ เค้าคงหอบหิ้วแค่สัมภาระของเค้าเองแล้ววิ่ง หรือ กรณีนั่งรถไฟคนละขบวน หากรถไฟเค้ามาก่อน เค้าก็คงต้องขึ้นรถไฟไป แล้วทิ้งของๆเราไว้ที่นั่น

ของๆเรา เราก็ต้องดูแลรับผิดชอบของๆเราเอง โดยเฉพาะระหว่างการท่องเที่ยว หากหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ข้าวของหายได้ ก็ควรจะทำใช่ไหมคะ
สักประมาณหกโมงกว่าๆ รถไฟก็มาเทียบชานชาลาค่ะ และ หยกก็หากินด้วยวิธีเดิม คือ โชว์ตั๋ว แล้วถามหาโบกี้ค่ะ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเล่นเอาเหนื่อยเชียว ดีที่คนอินเดียยิ้มแย้มแจ่มใส และ เต็มใจช่วยมาก ความตึงเครียดจึงไม่มีเลยค่ะ กลับรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา จินตนาการว่าตัวเองเล่นเกมส์โชว์ ยังไงยังงั้นเลย 555+
หลังจากถามจนมั่นใจว่าโบกี้ไหนแล้ว ก็มารู้ที่หลังว่า รถไฟอินเดีย แบบห้องส่วนตัว เค้าจะติดป้ายไว้ที่โบกี้ ซึ่งจะมีชื่อเรากำกับอยู่ ว่าเตียงไหน ห้องไหน ทีนี้ก็มั่นใจมากมายค่ะ ว่าถูกโบกี้แน่นอน 555+
ระหว่างที่นั่งรอ ก็มีคนมาขาย ชา กาแฟ ด้วยนะคะ เลยได้ดื่มชานมอุ่นๆ ไปหนึ่งแก้ว ถูก และอร่อยดี

ที่โบกี้นี้ มีห้องอยู่แค่ 3 ห้อง เท่านั้นเองค่ะ โดยมีทั้งห้องที่มี 2 เตียง อยู่ห้องเดียว และอีกสองห้อง เป็นแบบ 4 เตียง
ห้องที่หยกได้ ค่อนข้างใหญ่ และ สะอาด เป็นห้อง 2 เตียงค่ะ โดยเป็นเตียงสองชั้น มีอุปกรณ์เครื่องนอน วางไว้ให้ปูเอง ชั้นล่างมีลักษณะเป็นโซฟา ลักษณะจะนั่งได้แบบสบายๆ เลยค่ะ มีประตูกระจกแบบเลื่อน สามารถล๊อคได้ และ มีผ้าม่านบังกระจกไว้อีกด้วย แถมยังมี อ่างล้างมือเล็กๆ ที่มีกระจกด้วยนะคะ โดยรวมแล้ว ดูดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก

ทริค 3: ไม่ควรกระจายข้าวของนะคะ ถึงแม้จะได้ห้องส่วนตัวที่ล๊อคได้ เพื่อ 1) กรณีที่เราไม่ได้ลงที่สถานีปลายทาง แล้วเกิดตื่นสาย จะได้เตรียมพร้อมที่จะลงทันที โดยไม่ลืมข้าวของใดๆ 2) หากเกิดกรณีฉุกเฉินใดๆ ขึ้น จะได้พร้อมวิ่ง 3) ลดปัจจัยเสี่ยงของการลืมของบนรถไฟ
ที่น่าประทับใจอีกอย่าง ก็คือ มีมอร์นิเตอร์แจ้งว่าห้องน้ำว่าง (ไฟเขียว) หรือไม่ว่าง (ไฟแดง) บอกในห้องด้วย ซึ่งหยกจ้องอยู่นาน ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้การได้ เห็นไฟเปลี่ยนไปมาหลายรอบ จนมั่นใจว่ามันใช้ได้จริง เมื่อถึงคราวทดลอง ก็จ้องให้เป็นสีเขียวทั้ง 4 ห้อง แล้ววิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ เพื่อตรวจสอบทันที แบบว่ามันเวิร์คมาก

ซึ่ง รถไฟอินเดีย ก็เหมือนรถไฟทั่วๆไปค่ะ คือ มีคนมาขายอาหารบนรถไฟ จึงลองซื้อไว้ 1 ชุด พอแกะออกมา คือมีเยอะมาก มีถุงใส่อาหารมา 5 ถุง และกล่องอีก 1 กล่อง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นข้าว

และกล่องนั้น ก็คือกล่องข้าวจริงๆ ที่มีกับข้าวหนึ่งอย่างราดอยู่ ประมาณว่าคล้ายๆ ผัดถั่วอะไรซักอย่าง และ ก็มีน้ำพริกอะไรไม่รู้ ใส่อยู่ในถุง เหมือนถุงพริกน้ำปลาบ้านเรา

จากนั้นหยกก็แกะทุกอย่าง แล้วราดลงไปบนข้าว อย่างละเล็กละน้อย คือ ข้าวที่เค้าให้มานั้น อัดแน่น และ เต็มกล่องมาก จะมีช้อนให้ไหมเนี่ย เพราะ คนอินเดียเค้าทานอาหารด้วยมือค่ะ โชคดีที่เค้าให้ช้อนเล็กๆ มาด้วย แต่คือเล็กไปไหม 555+ อ่ะๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีเนอะ
ปรากฎว่า อาหารรถไฟนี้ อร่อยมาก แต่ต้องกินอย่างทุลักทุเล เพราะ มันล้นกล่องเหลือเกิน และ ช้อนพลาสติกที่เค้าให้มานั้น ก็ไซส์น่ารักมาก กว่าจะกินได้แต่ละคำ กลัวช้อนจะหักเอาซะจริง แต่หยกกินกับเรียบค่ะ เหลือข้าวนิดหน่อย อิ่มพุงกาง คงจะหลับสบายสินะคืนนี้

อ่อ ระหว่างที่หยกกำลังทานข้าวอยู่นั้น ก็มีเจ้าหน้าที่คุมโบกี้ มาถามว่าจะลงที่ไหน เค้าจะมาเรียกตอนเช้านะ อย่าตกใจนะ ซึ่งดีมาก แบบโล่งใจไปเยอะเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะเลยสถานีที่จะลง หรือลงผิดสถานี
คืนนั้นก็หลับสบายเลยค่ะ เนื่องจาก อิ่ม และ รถไฟอินเดีย ขับนุ่มมากค่ะ
เมื่อถึงตอนเช้ามืด ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียกจริงๆค่ะ บอกว่าให้เตรียมตัวลงได้ อีก 20 นาที จะถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว คือดีมาก ที่ให้เวลาเตรียมตัว ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนลงด้วย และ รถไฟอินเดีย ก็ถึงตรงเวลาซะด้วยนะคะ
เห็นไหมคะว่า เราสามารถโดยสาร รถไฟอินเดีย ได้อย่างปลอดภัย และ สบายสุดๆ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ได้ยินกันมาเลย ใช่ไหมคะ
555กำลังอยู่อินเดียสนุกมาก
สวัสดีค่ะ คุณ rabbit
โอียยยย น่าอิจฉามากกกกก คิดถึงอินเดียสุดๆเลย ไปไหนบ้างคะเนี่ย เที่ยวนานหรือเปล่าเอ่ย เที่ยวเผื่อด้วยนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ ส่วนเรื่องสนุกคงไม่ต้องอวย คงสนุกสุดๆอยู่แล้ววว
ขอบคุณสำหรับการสละเวลาแห่งความสนุกมาคอมเม้นต์มากมายนะคะ จุ๊บๆ 🙂
สวัสดีครับ ผมเพิ่งไปแบคแพคที่อินเดียมา 2 เดือนครับ คุณหยกโชคดีมากๆที่มีโอกาสนั่งรถไฟชั้น 1 ด้วย ผมได้นั่งดีที่สุดคือตู้นอนชั้น 2 แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือต้องยืนหน้าห้องน้ำ 18 ชม อีกอย่างในการนั่งรถไฟอินเดียคือการจองตั๋วไม่ได้ แล้วต้องไปซื้อตั๋วเองเป็นแบบ General ซึ่งต้องขึ้นตู้เฉพาะ แต่ถ้าโชคดีคนไม่แน่นก็ดีไปครับ ผมเดินทางช่วงหลังเทศกาล Holy พอดี เหมือนๆเทศกาลสงกรานต์บ้านเราครับ แต่ละโบกี้อย่าว่าแต่จะเอาตัวขึ้นไปเลยครับ กระเป๋าเป้ยังเอาใส่ตู้ไม่ได้เลย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ลืมจริงๆครับ รถไฟอินเดียนี่วิ่งนิ่มมากๆ ยิ่งถ้าได้ตู้นอนนี่หลับสบายเลยครับ ผมไปเที่ยวอินเดียสองเดือนคิดถึงเมืองไทยมากจริงๆ แต่เชื่อมั้ยครับ ผมกลับมาแล้วแต่กลับคิดถึงแต่อินเดีย ต้องหาโอกาสกลับไปเที่ยวอีกแน่นอนครับ เอาคลิปที่รถไฟเต็มเลยต้องโดดขึ้นตู้สัมภาระมาให้ดูด้วยครับ https://youtu.be/8bHEp0l7Brk
สวัสดีค่ะ คุณ Kirk ขอต้อนรับเข้าสู่สมาคมคนรักอินเดียค่ะ 🙂 อ่านจาก(ฟังจากน้ำเสียง)คำบรรยายแล้ว ดูเหมือนว่าทริปของคุณ Kirk คงจะเป็นทริปที่สนุกมากๆ และลืมไม่ลงเลยจริงๆค่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอินเดียถึงเกาะรถไฟได้ยังกับมด(ล้านแปดที่ขึ้นอาหาร) สงสัยเป็นเพราะ รถไฟอินเดีย ที่วิ่งนิ่มมากๆแน่ๆ
ดูคลิปที่แนบมาแล้วค่ะ ถึงรถจะแน่นแต่ผู้คนดูเป็นมิตรดีนะคะ จะตามไปดูคลิปอื่นๆด้วยค่ะ 🙂 คิดถึงอินเดียจะแย่แล้ว คงต้องหาโอกาสไปเที่ยวอินเดียอีกให้ได้ค่ะ ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงแบบนี้นะคะ
Nice post on Tamil Nadu. Read your post as much as possible through Google translation. Nicely written Yok.
Thank you, Chikmagalur. I love India, had a great time and so much fun there. Food is really tasty. People are friendly. Many things to sightsee and do and India is still on my list! I miss Indian food!
ชอบเรื่องนี้จัง คุณ หยก เก่งมากค่ะ ..กำลังจะอ่านเรื่องต่อไปค่ะ.
ขอบคุณมากค่ะ คุณ Panjapa อินเดียเป็นอีกทริปที่สนุกมาก ผจญภัยและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่หลายๆคนเตือนไว้ถึงความไม่ปลอดภัย แต่คิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย แม้กระทั่งหน้าบ้านของเราเอง เลยไม่ค่อยกลัวนัก แต่กลับกัน หยกเลยพยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ให้ตัวเองได้พร้อมมากที่สุด (แต่ทุกทริปก็ทำแบบนี้) เลยไม่ค่อยมีอุปสรรคใดๆยากๆ ส่วนมากก็เรื่องธรรมดา คือหลงทาง ? ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ?
หยก