
Sigiriya สิกิริยา ปราสาทหินโบราณ หรือ พระราชวังลอยฟ้า ในประเทศศรีลังกา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก อีกที่ๆ ต้องมา ด้วยความโดดเด่น อลังการของวังที่อยู่สูงเฉียดฟ้า สร้างด้วยหิน เป็นรูปสิงโต ถึงแม้ตอนนี้จะเหลือชิ้นส่วนความเป็นสิงโต แค่เท้าขนาดมหึมา 1 คู่ก็ตาม อีกทั้ง ทางเดินขึ้น ที่เป็นบันไดลอยฟ้า และทัศนียภาพรอบทิศที่เห็นจากด้านบนที่ตราตรึงใจ และประทับใจสุดๆ จนทำให้หยกต้องมาเยือน Sigiriya เป็นครั้งที่ 2
ก่อนที่จะมาดูข้อมูลเที่ยว และเรื่องเล่าสนุกๆ ใน Sigiriya ซึ่งหยกเขียนเรียงตามหัวข้อด้านล่างนี้ โดยสามารถเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจได้นะคะ ก็อยากชวนให้ไปชมเมืองมรดกโลกอีก 3 เมือง ซึ่งก็คือ เมืองหลวงโบราณอนุราธปุระอันศักดิ์สิทธิ์ (Anuradhapura) พร้อมกับการสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์, เมือง Kandy (แคนดี้) เมืองท่องเที่ยวหลักที่ครบเครื่อง ไม่หลับใหล มีทะเลสาบกลางใจเมือง มีสมบัติล้ำค่าของชาวพุทธ และมีสวนพฤกษชาติที่มีชื่อเสียง ติด 1 ใน 10 ในเอเชียใต้ และอีกที่ก็คือ Adam’s Peak เพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาท และชมพระอาทิตย์แรกของวัน โดยต้องเดินขึ้นบันไดมากกว่า 5,000 ขั้น และ หยกขอแนะนำ เมืองทางภาคเหนือที่พึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต นั่นก็คือ เมือง Jaffna คุณต้องชอบเมืองนี้ หากคุณเป็นคนชอบปั่นจักรยาน ชอบทะเล และ ชอบเมืองที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ทั้งนี้หยกยังมี ข้อมูลท่องเที่ยวศรีลังกา ที่มีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางท่องเที่ยวเองในศรีลังกามาฝากด้วยค่ะ โดยสามารถคลิ๊กอ่านได้ที่ตัวหนังสือสีส้มได้เลยนะคะ
- Sigiriya คืออะไร อยู่ที่ไหน
- Sigiriya มีอะไรให้เที่ยว หรือ กิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง นอกจากขึ้น ไปชมพระราชวังลอยฟ้าและควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน
- Sigiriya เสียค่าเข้าไหม เสียเท่าไหร่ ซื้อตั๋วตรงไหน แล้วเปิด ปิด กี่โมง
- จะไปขึ้น Sigiriya ต้องเดินทางไปที่เมืองไหน ยังไง
- Sigiriya เดินยากหรือเปล่าเนี่ย หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร ระยะทางไกลแค่ไหน เดินนานขนาดไหน
- ควรเริ่มเดินขึ้น Sigiriya กี่โมงดีน้าา ช่วงไหนถ่ายรูปสวย ไม่ย้อนแสง และคนไม่เยอะ
- ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินขึ้น Sigiriya จะทำอย่างไรละเนี่ย
- เรื่องเล่าระหว่างการเดินขึ้น-ลง Sigiriya สนุกแค่ไหน มันส์ยังไง อะไรที่ประทับใจ และความแตกต่างของ Sigiriya ในวันนี้ กับ 5 ปีที่แล้ว
- ข้อควรรู้ และข้อควรระวัง ในการเดินขึ้น-ลง Sigiriya
- สิ่งที่ต้องเตรียม หากต้องการขึ้น Sigiriya

พร้อมแล้วก็ไปเตรียมตัวเที่ยว Sigiriya ให้สนุก กับ สนุกเที่ยว เลยค่ะ
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
1. Sigiriya สิกิริยา คืออะไร อยู่ที่ไหน
Sigiriya (อ่านว่า สิกิริยา หรือ สิคิริยะ) หรือ Sinhagiri (สิงห์คีรี) เป็นเมืองในอำเภอ Matale (มาตะเล) ตอนกลางของ ประเทศศรีลังกา ค่ะ เป็นที่ๆ มีชื่อเรียกเยอะมาก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Lion Rock หรือ พระราชวังลอยฟ้า หรือ อนุสรณ์สถานเมืองคนบาป โดยที่ สิกิริยา ยังมีชื่อที่เป็นทางการ คือ Ancient City of Sigiriya หรือ Sigiriya Lion Rock Fortress นะคะ
ที่มาของการสร้างพระราชวังนี้ มีประวัติที่ไม่ค่อยดีเลยค่ะ เรื่องเล่าคร่าวๆ มีอยู่ว่าลูกชายทำการปิตุฆาต เพื่อชิงบัลลังก์ ที่เมือง Anuradhapura (อนุราธปุระ) แล้วก็หนีไปสร้าง พระราชวังลอยฟ้า แห่งนี้ ที่เมือง สิกิริยา เพื่อป้องกันการชิงบัลลังก์จากพี่ชาย (บางแหล่งบอกว่าเป็น น้องชาย) จึงเป็นที่มาของชื่อ อนุสรณ์สถานเมืองคนบาป นั่นเองค่ะ

สิกิริยา แห่งนี้ จึงเป็นทั้งป้อมปราการ และ ปราสาทในคราวเดียวกัน โดยสร้างจากแท่ง(ก้อน)หิน ที่มีความสูงเกือบ 200 เมตร ในอดีตเค้าว่าหินก้อนนี้ เป็นรูปสิงโตนะคะ แต่ปัจจุบัน แตก และพังทลาย เหลือไว้ให้เห็นแค่รูปเท้าสิงโต 2 ข้าง ตรงทางขึ้นไปสู่ พระราชวังลอยฟ้า เท่านั้นเอง
ปัจจุบัน สิกิริยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ ประเทศศรีลังกา ค่ะ โดยได้รับการพิจารณาเป็น มรดกโลก จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดแห่ง ของประเทศศรีลังกาอีกด้วยนะคะ สุดยอดจริงๆ
2. Sigiriya มีอะไรให้เที่ยว หรือ กิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง นอกจากขึ้น ไปชมพระราชวังลอยฟ้าและควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน


สิกิริยา เป็นเมืองเล็กๆ เองค่ะ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำ นอกจากการขึ้นชม Sigiriya, เข้าชมพิพิธภัณฑ์, เดินเล่นรอบๆ วัง รอบๆ เมือง, และการนั่งช้าง, นั่งรถที่ลากด้วยวัวชมเมือง แล้วยังมีอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ก็คือ การปั่นจักรยานชมเมือง ชมวัด ชมโบราณสถานที่อยู่รอบๆ เพราะเมืองนี้ ถนนดี ถนนค่อนข้างโล่ง รถไม่ได้เยอะมาก อีกทั้งสองข้างทางคือต้นไม้ ร่มรื่น เย็นสบาย ซึ่งสามารถเช่าจักรยานได้ในราคาวันละ 350 RS หรือ ประมาณ 87.5 บาท เท่านั้นเองค่ะ

โดยส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว สิกิริยา มักจะใช้เวลา ชื่นชมความงามของ วังลอยฟ้า แห่งนี้ ประมาณ 2 – 4 ชั่วโมงค่ะ เดินขึ้น+เดินลง ก็ประมาณ 1 ชั่วโมง เผื่อเวลาเดินเล่นชิวๆ สบายๆ รอบๆ วัง หรือ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ อีกสักหน่อยก็พอดีค่ะ

3. Sigiriya เสียค่าเข้าไหม เสียเท่าไหร่ ซื้อตั๋วตรงไหน แล้วเปิด ปิด กี่โมง

สิกิริยา เปิดให้เข้าทุกวัน ตั้งแต่ 07.00 น. จนถึง 17.30 น. นะคะ
ค่าธรรมเนียมเข้า สิกิริยา ซึ่งรวมถึงการเข้าชมภาพเขียนสีนางอัปสร และเข้าพิพิธภัณฑ์ อยู่ที่ $30 หรือ 4,350 RS หรือประมาณ 1,087.5 บาท โดยไม่สามารถซื้อตั๋วที่ประตูผ่าน เข้า สิกิริยา ได้นะคะ ต้องซื้อตรงเคาน์เตอร์สีเขียวๆ ก่อนถึงประตูทางเข้า ซึ่งห่างกันประมาณ 100 เมตร ค่ะ โดยจะมีป้าย Ticket office ไว้ให้เห็นค่ะ
4. จะไปขึ้น Sigiriya ต้องเดินทางไปที่เมืองไหน ยังไง

หยกนั่งรถทัวร์มาลงที่ สิกิริยา เลยค่ะ โดย สิกิริยา นี้ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เอง จึงไม่มีสถานีรถทัวร์แบบจริงๆ จังๆ มีแต่ป้ายรถทัวร์ค่ะ และก็ไม่มีสถานีรถไฟนะคะ แต่สามารถนั่งรถทัวร์มาที่นี่ได้ จากหลายๆ เมืองเลยค่ะ
5. Sigiriya เดินยากหรือเปล่าเนี่ย หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร ระยะทางไกลแค่ไหน เดินนานขนาดไหน
พระราชวังสิกิริยา ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นทั้งวัง เป็นทั้งป้อมปราการ รอบๆ วังจึงมีคูน้ำล้อมรอบ หยกเจอคนลงไปอาบน้ำด้วยนะ

1). เริ่มเดิน
ทางเดินขึ้นไปชม พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา หรือ สิคิริยะ นั้น เค้าว่ากันว่ามีบันไดอยู่ 1,200 ขั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้านับขั้นยังไง เพราะหยกรู้สึกว่า ไม่น่าจะถึง 1,200 ขั้นเลยค่ะ

ทางเดินก็เริ่มจากทางเดินราบจากทางเข้า แล้วก็เป็นทางเดินหินขั้นไม่ใหญ่มาก ชันนิดหน่อย แต่ไม่ได้สูงมากนะคะ แค่ไม่กี่สิบยี่สิบขั้น แล้วเปลี่ยนเป็นทางราบ แล้วก็ต่อด้วยบันไดหินอีกสิบยี่สิบขั้นค่ะ เป็นทางแบบนี้อยู่สักพัก


ซึ่งตรงบริเวณสวนหญ้าเขียวๆ ระหว่างทางเดินดินสีส้มแดงยาวๆ เพื่อไป สิกิริยา ยังมีสระน้ำ สวนต่างๆ และ อีกหลายๆ อย่างที่เป็นส่วนประกอบของวังในอดีต ที่ให้คุณสามารถเดินเล่น เดินชมได้
2). ภาพเขียนสีน้ำนางสวรรค์
จากนั้น ก็จะเป็นทางเดินเหล็กรอบๆ หินก้อนโตๆ นั่น ซึ่งตรงนี้ จะต้องทำการแสดงตั๋วอีกครั้งหนึ่งนะคะ และสามารถเลือกได้ว่า อยากจะขึ้นบันไดวน เพื่อไปชมภาพเขียนสีน้ำของชาวสิงหล หรือ ภาพเขียนสีเฟรสโก ก่อน แล้วค่อยไปชมพระราชวังลอยฟ้า หยกเลือกที่จะไปชม สิคิริยะ ก่อนค่ะ เพราะกลัวคนจะเยอะที่ด้านบน แต่พอขากลับ กลับอดชม ภาพเขียนสีเลยค่ะ เพราะอะไร รอติดตามที่ด้านล่าง ใน ข้อ 8 นะคะ

ภาพเขียนสีเฟรสโก หรือ ภาพเขียนนางอัปสร เป็นภาพเขียนสีน้ำอันเลื่องชื่อ และมีชื่อเสียง โดยวาดบนพื้นหน้ากำแพงของหลืบถ้ำ สูงราว 100 เมตร จากฐานของภูเขาหิน
3). Mirror wall
จากนั้นก็เดินตามทางเหล็ก เพื่อชม Mirror wall หรือ กำแพงกระจก ซึ่งเป็นกำแพงที่ฉาบปูนราบเรียบลื่น จนเป็นมันเงางามมาก เสมือนกระจกเลยทีเดียวค่ะ คาดกันไว้ว่า ในสมัยก่อน เค้าใช้กำแพงนี้ เป็นกระจกส่อง แทนกระจกเงา แต่ตอนนี้กำแพงนี้ไม่เงาแล้วนะคะ โดยจะมีป้ายเขียนบอกว่า ห้ามจับ และระบุให้ทราบว่า นี่คือ กำแพงกระจก ค่ะ
4). ประตูสิงห์
เดินอีกนิดก็ขึ้นมาถึง อุ้งเท้าสิงห์ หรือ ประตูสิงห์ ค่ะ จุดนี้จะเป็นลานกว้างสักหน่อย ให้ได้หยุดพัก ให้ได้ชมความงามของเท้าสิงห์ และบันไดลอยสูง รอบๆ ภูเขาหินนี้

5). ทางขึ้นสู่ พระราชวังลอยฟ้า
จากนี้ก็จะเดินทางเดินบันไดเหล็กลอยฟ้า ที่อยู่รอบภูเขาหินนี้แล้วค่ะ โดยจะมีราวให้เกาะ และจะมีราวกั้นตรงกลาง แยกทางเดินขึ้น และ ลง ค่ะ แล้วก็ขึ้นมาถึงด้านบนยอดเขา ซึ่งก็คือ พระราชวังลอยฟ้า สิคิริยะ เมื่อครั้งโบราณ นี่เอง
6). ทัศนียภาพเบื้องล่างทุกทิศทาง

อย่างที่บอกว่า Sigiriya นี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ซึ่งเป็นเขาหินขนาดใหญ่ เหนือพื้นที่ราบ ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพทุกทิศทาง เป็นป้อมปราการที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ในการป้องกันการถูกโจมตีจากศัตรู ยังพบสระน้ำขนาดใหญ่ มีทั้งน้ำพุ น้ำตก และสวนดอกไม้ อีกด้วย
7). ทางลง
ทางลงจะเป็นทางเดิมจากด้านบน ลงมาถึงแค่ตรงประตูสิงห์นะคะ หลังจากประตูสิงห์ไป จะใช้ทางลงอีกทางค่ะ ซึ่งระยะทางสั้นกว่าทางขึ้นมาก


8). ระยะเวลาเดินขึ้น และ ลง
หยกใช้เวลาเดินขึ้น แบบชิวๆ รวมชมวิว ถ่ายรูป ถึงประตูสิงห์ ใช้เวลา 25 นาที ค่ะ และเดินอีก 15 นาที ก็ถึงด้านบนสุด
ส่วนขาลงนี้เร็วเชียวค่ะ ใข้เวลาแค่ 5 นาทีเอง ถึงประตูสิงห์แล้ว และเดินอีกไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงด้านล่างแล้วค่ะ
6. ควรเริ่มเดินขึ้น Sigiriya กี่โมงดีน้าา ช่วงไหนถ่ายรูปสวย ไม่ย้อนแสง และคนไม่เยอะ
สิกิริยา คือ พระราชวังหินลอยฟ้าโบราณในตำนาน ที่มีชื่อเสียงมากในปัจจุบัน จึงเป็นที่ๆ หากใครมาเยือน ประเทศศรีลีงกา ก็จะต้องแวะมาที่นี่ นักท่องเที่ยวจึงเยอะมากเป็นพิเศษ เยอะแบบที่ต้องต่อแถวบนบันไดเหล็ก กลางแดด เป็นชั่วโมงๆ เพื่อรอขึ้นบันไดวนเพื่อเข้าชมภาพสีน้ำ และเพื่อเดินขึ้นไปบนพระราชวังลอยฟ้าเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้นจึงควรไปก่อน 07.00 น. เพื่อรอซื้อตั๋วตอน 07.00 น. ค่ะ
1). ข้อดีของการมา สิกิริยา ตั้งแต่เช้าๆ
1. คนน้อย สบายในทุกอย่าง ตั้งแต่ต่อคิวซื้อตั๋ว, ต่อคิวเข้า สิกิริยา หรือ ต่อคิวเดินขึ้น เพราะอย่างที่บอก คือ อาจใช้เวลาในการต่อคิวนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ทั้งยังไม่หงุดหงิดในการถ่ายรูป, ได้เห็นวิวสวยๆ เต็มๆ ด้านบนไม่ได้อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว
2. ไม่ร้อน แดดยังไม่มา เดินได้ชิวๆ สบายๆ
3. ในบางฤดู จะได้เห็นหมอกในยามเช้าบนยอดเขา สิกิริยา ด้วยค่ะ และเมื่อขึ้นไปถึงด้านบน ก็ยังมีหมอกพัดไปลอยมา

2). ถ่ายรูปตอนไหนแสงสวย
จริงๆ ตอนเช้าน่ะ ถ่ายรูป หินราชสีห์ ไม่สวยหรอกค่ะ เพราะพระอาทิตย์ขึ้นที่ด้านหลังพอดี ก็เลยย้อนแสงเบาๆ หากต้องการถ่ายรูป สิกิริยา สวยๆ ก็คงต้องเป็นช่วงบ่ายค่ะ เพราะแสงแดดจะอยู่ด้านหน้า หินราชสีห์ จะให้แสงกระทบหินก้อนยักษ์ๆ นี้ได้สวยเลยแหละ แต่ข้อดีของการมาเช้าๆ มันเยอะกว่ามากค่ะ หยกแนะนำว่าหากใครมีเวลาไม่เยอะ ก็ให้มาที่นี่ตอนเช้าจะดีกว่านะคะ แต่หากใครมีเวลาได้ทั้งวัน และชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ แนะนำให้อยู่มันทั้งวันเลยค่ะ เพราะรูปที่คุณได้จะหลายอารมณ์มาก จนทำให้คุณหลงรักสิกิริยามากขึ้น
7. ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินขึ้น Sigiriya จะทำอย่างไรละเนี่ย
อันนี้ลำบากค่ะ เพราะด้านบนไม่ได้มีห้องน้ำไว้ให้บริการ แต่โชคดีที่ ทางเดินขึ้น ลง สิกิริยา นั้น สั้นๆ ใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงค่ะ ประกอบกับการเดินที่ทำให้เสียเหงื่อออกด้วย จึงช่วยลดการขับน้ำออกทางปัสสาวะไปได้บ้าง เพราะถูกระบายออกทางผิวหนังไปแล้ว ประมาณว่าเมื่อลงไปถึงข้างล่าง ก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี
8. เรื่องเล่าระหว่างการเดินขึ้น-ลง Sigiriya สนุกแค่ไหน มันส์ยังไง อะไรที่ประทับใจ และความแตกต่างของ Sigiriya ในวันนี้ กับ 5 ปีที่แล้ว

หยกมาเที่ยว สิกิริยา ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ ครั้งแรกคือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว สิกิริยา ยังคงสวยงาม, อลังการ, น่าหลงใหล, ลึกลับ และน่าค้นหาเหมือนเดิม แต่เวลาก็ทำให้หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป
1). เช้าที่ไม่เช้า
เนื่องจากวันนี้ หยกวางแผนไว้ว่า ช่วงบ่ายจะเดินทางไปเมือง Kandy จึงแพลนไปเยี่ยมชม พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา ตั้งแต่เริ่มเปิดเลยค่ะ ออกจากที่พักตั้งแต่ 06.40 น. ตอนเช้าอากาศดีมาก เดินชิวๆ สบายๆ ถึงจุดขายตั๋วประมาณ 06.55 น. ซึ่งก็มีคนต่อคิวรอแล้ว 5 คน แต่มีคนยืนรออยู่รอบๆ อีกเป็นสิบๆ นี่ขนาดออกมาเช้าแล้วนะเนี่ย คิดว่าจะมาเป็นคนแรกซะอีก
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ค่าเข้า สิกิริยา ถูกกว่านี้เยอะเลยค่ะ โดยเค้ามีตั๋วที่เรียกว่า Triangle Cultural Ticket ราคา $50 ใช้ได้ 14 วัน ตั๋วเดียว ราคาเดียว จ่ายครั้งเดียว แต่สามารถใช้เข้าที่ต่างๆ ต่อไปนี้ได้เลยค่ะ โดยแค่แสดงตั๋ว ไม่ว่าจะเป็น Anuradhapura ($25), Polonnaruwa ($25), Dambulla ($10), และอีกหลายๆ ที่ รวมทั้ง Sigiriya ($30) รู้สึกเสียใจ และอารมณ์เสียอยู่(มาก)หน่อย ที่เค้ายกเลิกตั๋วแบบนี้ไป แล้วเก็บค่าเข้าแยก ซึ่งแต่ละที่ก็แพงเชียวค่ะ ราคาค่าเข้าปัจจุบันก็ตามที่หยกใส่ไว้ในวงเล็บเลยนะคะ ชาวศรีลังกาเองก็เสียค่าเข้านะคะ แต่คือถูกมากๆ คงคล้ายๆกับวัดพระแก้วบ้านเรา ที่เราเข้าฟรี ชาวต่างชาติเสีย 500 บาท
2). มนต์สะกด

หลังจากผ่านจุดตรวจตั๋ว ก็จะเดินผ่านทางเดินดินสีแดง ที่ๆ ตรงหน้า คือ หินก้อนโตๆ ที่สูงลับฟ้า แถมยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอก น่าค้นหาสุดๆ และที่สองข้างทาง ก็มีสวนเขียวๆ ต้นไม้ร่มรื่นๆ ที่ถูกตัดตกแต่ง อย่างเป็นระเบียบกว่าครั้งก่อน มีบ่อน้ำ มีทางเดินอีกหลายเส้นทางที่ดูชัดเจนกว่าครั้งก่อน ที่หลอกล่อใจ ให้อยากจะเดินเข้าไปสำรวจ แต่ก้อนหินยักษ์ใหญ่ที่เห็นอยู่ตรงหน้า กลับเหมือนมีมนต์สะกดที่แรงกว่า ดึงดูดให้หยกต้องเดินตรงเข้าไป
3). แค่ปลายนิ้วเท้าสัมผัส
ขั้นบันไดหินที่นี่ค่อนข้างจะเล็กค่ะ ทำให้นึกสงสัยว่า คนสมัยก่อนนั้นคงเท้าเล็กสินะ แบบเดินได้แค่ปลายนิ้วเท้าเท่านั้นเอง อย่างเท้าหยกนี้ ต้องเดินทะแยงข้างเอาค่ะ เอ๊ะ หรือว่าเราเท้าใหญ่!

4). อดเจอนางอัปสร
แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างกับว่าไม่เคยมาเลยค่ะ และด้วยความที่อยากขึ้นไปชมวังท่ามกลางหมอกขาวหนาๆ จึงยังไม่เข้าชมภาพเขียนสีน้ำ นางอัปสร ค่ะ แล้วคิดว่า ค่อยมาชมตอนขาลงละกัน โดยทางขึ้นไปชมภาพเขียน จะเป็นบันไดวนๆ นะคะ แต่ปรากฎว่า ขาลงนั้น ต้องเดินลงอีกทางน่ะสิคะ แป่ว

แล้วหากต้องการจะเข้าชม ภาพเขียนสีเฟรสโก เหล่านี้ ก็ต้องเดินขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหามันอยู่ที่คนที่เยอะมากๆ เยอะแบบเดิน แบบขยับไม่ได้เลยค่ะ แบบต้องยืนนิ่งๆ ตากแดดรอคิว เพื่อรอเข้าชมทั้งความงามของนางอัปสร และ วังลอยฟ้า ครั้งนี้หยกจึงอดทักทายนางอัปสร เลย ก็แลดูจากแถวแล้ว น่าจะต้องรอเป็นชั่วโมงเลยเชียวค่ะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เจอกันแล้วเนอะ เมื่อ 5 ปีที่แล้วไง

5). ยืนงงอยู่นาน
แล้วก็ถึงจุดที่เค้าเรียก Mirror wall หรือ กำแพงกระจก ไม่อยากจะบอกเลยว่ายืนงงอยู่นาน ตอนมาครั้งแรกนั้นงงอย่างไร ครั้งนี้ก็งงเหมือนเดิม อ่านป้ายแล้วก็พยายามมองหา ว่าตรงไหนคือ Mirror wall หันไปหันมา ก็หาไม่เจอ ไม่มีคนให้ถามด้วย ยังจะมีเขียนอีกว่า “ห้ามจับ” คือห้ามจับอะไร เห็นแต่กำแพงซีเมนต์สีชมพูอมแดง สูงเชียว สงสัยกันคนตกแน่เลย หลังจากยืนงงอีกสักพัก จึงปล่อยเลยตามเลย ช่างมันเถอะ แล้วก็เดินต่อไป
มาถึงบางอ้อทีหลังว่า มันก็คือ ไอ้เจ้ากำแพงสูงๆ ที่เห็นนั่นแหละ คือเค้าฉาบปูนให้เป็นเงา แล้วใช้เป็นกระจกในสมัยก่อน แต่ตอนนี้มันไม่เงา และมองไม่เห็น ไม่เป็นกระจกแล้วไง ก็ไม่แปลกที่จะงงเนอะ
6). ประตูสิงห์

แล้วก็ถึงเท้าพี่สิงห์อย่างรวดเร็วค่ะ เท้าพี่สิงห์ยังคงสวยงาม สมบูรณ์ และ น่าเกรงขามเหมือนเดิม แต่เอ้ ทำไมรู้สึกว่าครั้งนี้ ทางขึ้น สิกิริยา นี้มันสั้นจัง คือครั้งแรกที่มา รู้ว่าเดินไกล๊ไกล เหนื้อยเหนื่อย เดินยังไม่ก็ไม่ถึงสักที แต่ครั้งนี้สิ ยังไม่ทันเหนื่อยเลย ก็ถึงซะแล้ว
7). ทางเดินลอยฟ้าสู่สวรรค์

ตอนเนี่ยแหละยิ่งตื่นเต้นสุดๆ พันกว่าปีที่แล้ว คนที่คิดสร้างบันไดลอยฟ้าแบบนี้ นี่ไอเดียบรรเจิดสุดๆ สมแล้วที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลก ว่าไหมคะ ส่วนวิวด้านล่างนี่คือสวยมาก เขียวขจี กว้างไกล มองเห็นทางที่หยกเดินขึ้นมาอยู่ไกลลิบๆ เลย จะว่าไปแล้วเจ้าชายนี่ก็สุดยอดจริงๆ แหะ ที่เลือกทำเลสร้างวังได้เหมาะมากๆ เป็นพระราชวังที่ชิคสุดๆ เดินไปก็เสียวไปค่ะ แถมอากาศก็ดี ลมก็พัดเย็นตลอดทางเลย คงจะเป็นบันไดทางขึ้นวังที่เริ่ดที่สุดเลยนะเนี่ย

8). ก็แค่ฟินมากกกก
หยกชอบทางเดินบันไดลอยฟ้านี้มากๆ เลยค่ะ คือ เดินสนุก เดินสบาย ไม่ชัน ขั้นบันไดก็ไม่เล็ก แถมวิวนี่คือดีมาก สวยมาก ลมพัดเย็นสบายตลอดเลย ดูแล้วเพลิน อิ่มธรรมชาติสุดๆ ยิ่งมาช่วงเช้าด้วยแล้ว หมอกขาวสวย ลอยไปลอยมา คนก็ไม่เยอะ ไม่ต้องคอยหลบทางให้คนนั้นเดินผ่าน ไม่ต้องเกรงใจใคร หากจะหยุดอยู่เฉยๆ กลางบันไดเพื่อชมวิว เพื่อดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ คือมีเวลาเอ็นจอยบันไดลอยฟ้าอย่างเต็มที่เลยค่ะ
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
9). พระราชวังสูงเฉียดฟ้า


แล้วก็ถึงที่ตัวพระราชวัง คุณหมอกยังคงเยอะอยู่ ลอยไปลอยมา จนเหมือนกับว่า พระราชวังนี้อยู่สูงติดกับเมฆเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่าด้านบนนี้มีครบทุกอย่างที่พระราชวังควรมี ทั้งสระน้ำ น้ำพุ น้ำตก และสวนดอกไม้ อลังการงานสร้างสุดๆ และด้านบนนี้ก็กว้างมากค่ะ เดินเพลินๆ เรื่อยๆ และ ก็จริงอย่างที่เค้าว่ากันค่ะ ว่า เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบทิศแบบไกลๆ โพ้นนู้นเลย เห็นฟ้าสีฟ้าเป็นครั้งคราว ตัดกับสีส้มแดงของอิฐ กับสีเขียวของต้นไม้ กับเสื้อสีเหลืองๆ ของหยก สีสันนี่สวยลงตัวสุดๆ 55+

10). ฟ้าใส, หมอกขาว และ เมฆดำ

สักพัก ด้านบนก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกขาว ฟ้าสีฟ้านี่หายไปเลยค่ะ ก็ดูสวยไปอีกแบบดีเหมือนกัน แต่ก็ยังแอบหวังว่าจะได้ฟ้าสีฟ้ากลับมา ก็ฟ้าแบบฟ้าๆ ถ่ายรูปได้สวยกว่าตั้งเยอะ เมื่อความหวังแลดูไม่เป็นผล จึงไปนั่งชิวๆ ชมวิว กินขนมไปสิค่ะ
แต่แล้วสักพักใหญ่ๆ ก็เห็นเมฆดำอยู่ไกลๆ ซึ่งน่าจะรอดอยู่ จึงยังคงนั่งชิว ชมวิวต่อไป แต่แล้วเมฆดำก็ถูกพัดมาอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจเดินลงค่ะ โดยระหว่างที่เดินลงนั้น เมฆดำก็อยู่เหนือหัวพอดี จึงเตรียมตัว เก็บของดีๆ คลุมกระเป๋า คือพร้อมเปียกเต็มที่

แต่เมื่อลงมาถึงเท้าสิงห์ เมฆดำก็ลอยจากไป แล้วฟ้าก็ใสก็แจ่มมาก คืออะไร! เลยค่อยๆ เดินลง ชิวๆ ไป ซึ่งตรงจุดนี้ ทางลงจะเป็นคนละทางกับทางขึ้นแล้วค่ะ เราจะไม่เดินผ่าน กำแพงกระจก แล้ว และแล้วก็ถึงด้านล่างอย่างรวดเร็ว
11). ปลากระป๋องแดดเดียว
หยกเดินมาถึงข้างล่างก็เกือบ 10 โมงค่ะ คือคนยืนรอต่อแถวตั้งแต่ตรงบันไดวน ที่เข้าชมนางอัปสร จนถึง ตรงบันไดหินขั้นเล็กๆ ด้านล่าง อย่างแน่นขนัด อย่างกับปลากระป๋อง คือยืนกันนิ่งๆ ด้วยนะ ฟ้าก็แจ่ม แดดก็จ้าเชียวค่ะ การเข้าชมนางอัปสรของหยกในครั้งนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ

แล้วก็ต้องช๊อค เพราะนอกจากแถวที่ยาว แน่น และนิ่งแล้ว นักท่องเที่ยวก็ยังทยอยเดินมาสมทบอยู่เรื่อยๆ เพื่อต่อแถวที่ยาวอยู่แล้ว ให้ยาวและแน่นขึ้นไปอีก คือโชคดีมากๆ ที่หยกมาตั้งแต่เค้าเปิด จึงไม่ต้องไปยืนเป็น ปลากระป๋องแดดเดียว

แล้วก็ย้อนนึกไปเมื่อ 5 ปีก่อน จำได้ว่านักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาตินั้น แทบจะไม่มีเลยค่ะ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่ พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา แห่งนี้ คือ ชาวศรีลังกาเองล้วนๆ แต่ ณ วันนี้ นานาชาติเยอะจนน่าตกใจเลยค่ะ
12). ก็อยากออกทางเดิม

แล้วก็ออกทางที่เดินเข้ามาไม่ได้ คือคนแน่นเชียวค่ะ จนเหมือนทางเดินเป็นแบบ one way จึงต้องออกทางที่เค้าเขียนว่า ทางไปลานจอดรถ ซึ่งก็เป็นทางเดินที่ร่มรื่นดี เดินไปอีกสักหน่อยก็จะเจอป้ายเขียนประมาณว่า ทางออก ลานจอดรถ สำหรับชาวต่างชาติ แล้วก็ไปเจอคนเป่าปี่ให้งูเห่าเต้นระบำ และก็มีงูเหลือมตัวโตๆ ไว้ให้คล้องคอถ่ายรูปด้วย ไอ้เราก็ยืนรออยู่พักใหญ่ๆ เผื่อมีใครจ่ายตังค์ดูระบำงูเห่า ปรากฎว่าไม่มี เลยอดดูเลยค่ะ ตอนนั้นก็แอบงกเนอะ ไม่ยอมจ่ายเอง ดังนั้นก็อย่าบ่นสิ จริงไหม
จากนั้นก็เจอถ้ำงูเห่า (Cobra Cave) ค่ะ ซึ่งเป็นหินรูปร่างเหมือนงูเห่ากำลังแผ่แม่เบี้ยตัวเบ่อเริ่มเลยค่ะ สูงใหญ่มาก จากนั้นก็ถึงทางออกจริงๆ แล้วค่ะ ซึ่งก็เหมือนหลายๆ ที่ ที่ทางออกก็จะมีคนขายของเพียบเลย เยอะกว่า 5 ปีก่อนด้วย ทั้งรูปปั้นช้าง รูปแกะสลักช้าง กางเกงรูปช้าง(เหมือนบ้านเรา) แผ่นแม่เหล็ก มีซุ้มขายของ ขนม ไอศกรีม น้ำดื่ม และอะไรอีกหลายๆ อย่าง

แต่คือ ไม่อยากออกทางนี้ไง อยากออกทางเดิม อยากเห็น สิกิริยา ตอนไม่มีหมอกอีกสักครั้ง แล้วคือตอนนี้ฟ้าใส และสวยมาก จึงเดินวนกลับเข้ามาค่ะ โดยเดินตัดสนามหญ้า และตัดตรงไปตรงทางเดินดินสีแดงๆ ตรงทางเข้า ซึ่งคนเดินเข้ามากันเยอะมากๆ รู้สึกเหมือนไปเดินสวนทางเค้าเลย ก็ไม่มีใครเดินออกเลย มีแต่หยกนี่ไง 55+ (ออกทางนี้ได้นะคะ เพราะที่จุดตรวจตั๋วด้านหน้านั้นมีสองเคาน์เตอร์ คือ ทางเข้า กับ ทางออก)

แล้วก็เดินชิวๆ สวนทางกับฝูงชนมากมาย ท่ามกลางฟ้าแจ่มๆ แดดจ้าๆ เลยโชคดีอีกแล้วค่ะ ที่ได้รูป Lion Rock ทั้งตอนมีหมอก และตอนฟ้าสวย
13). แล้วฝนก็ตกหนักพอดี
ระหว่างทางที่กลับที่พัก เมฆดำก็มาอีกแล้วค่ะ ซึ่งพอถึงที่พัก ถอดรองเท้าจะก้าวเข้าห้องเท่านั้นแหละ ฝนก็ตกหนักพอดี
เป็นห่วงคนบนวังลอยฟ้าจัง จะเป็นอย่างไรบ้างน้า

9. ข้อควรรู้ และข้อควรระวัง ในการเดินขึ้น-ลง Sigiriya
ทางเดินขึ้น สิกิริยา นั้น สั้นๆ เองค่ะ ไม่ได้ยาก หรือ ชันอะไร ซึ่งระดับการเดินแบบนี้ ให้เป็น ระดับง่าย ค่ะ อาจจะมีข้อควรระวัง กับคนที่กลัวความสูง นะคะ เพราะหลังจากผ่านประตูสิงห์ไป ทางเดินจะเป็นบันไดลอย ที่เกาะอยู่ด้านข้างของก้อนหิน จึงทำให้เห็นวิวด้านล่างเต็มๆ ซึ่งค่อนอข้างสูงเลยแหละค่ะ แต่ถ้าค่อยๆ เดินขึ้นไป โดยไม่มองลงข้างล่าง ก็น่าจะช่วยได้นะคะ เพราะที่บันไดก็มีราวให้จับค่ะ ขั้นบันไดก็ขนาดใหญ่พอควร อากาศก็ดี ลมพัดเย็นสบายอีกด้วยค่ะ
แต่ถามว่าเหนื่อยไหม หอบไหม ก็ธรรมดาของการเดินขึ้นบันไดค่ะ แต่วิวเบื้องล่าง และลมเย็นที่พัดมา นั้น ทำให้การเดินสบายขึ้น การหายใจสะดวกขึ้นเยอะเลยค่ะ
10. สิ่งที่ต้องเตรียม หากต้องการขึ้น Sigiriya
1). น้ำดื่ม อย่าลืมจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดทางนะคะ เพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไปโดยไม่รู้ตัว เพราะลมที่พัดมาอยู่ตลอดเวลา
2). ครีมกันแดด, แว่นกันแดด และหมวก
3). เสบียง หรือ ขนมขบเคี้ยว เพื่อไปนั่งปิกนิกเบาๆ กินขนมไป ชมวิวไป รับลมเย็นๆ ฟินเลยค่ะ

เป็นอย่างไรบ้างค่ะ สนุกไปด้วยกันหรือเปล่า อยากไปชมพระราชวังลอยฟ้าแห่งนี้ด้วยตัวเองแล้วใช่ไหมคะ และหยกหวังว่าข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ และใช้ได้จริง กับเพื่อนๆ ชาวสนุกเที่ยว ที่กำลังหาข้อมูลไป สิกิริยา ที่ประเทศศรีลังกา นะคะ หากมีข้อติชม คำถาม ข้อสงสัยใดๆ หรือคำแนะนำ ก็คอมเม้นต์มาได้เลยที่ด้านล่างนี้นะคะ หยกยินดีรับฟัง(อ่าน)ทุกคอมเม้นต์ และตอบกลับให้เร็วที่สุดเลยค่ะ (ยกเว้นกรณี ที่หยกกำลังเถลไถลท่องโลกอยู่ แล้วไม่มีอินเทอร์เน็ตนะคะ)
บรรยายได้สนุกดีค่ะ ?
อยากทราบค่าใช้จ่ายตลอดทริปนี้ ตั้งแต่ขึ้นเครื่องที่ไทย จนกลับมาไทย พอจะแบ่งปันข้อมูลให้ทราบได้ไหมคะ ?
สวัสดีค่ะ คุณแสงฤดี
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และการแวะเข้ามาเยี่ยมชม สนุกเที่ยว มากๆ นะคะ 🙂
อยากจะแบ่งปันจังเลยค่ะ แต่หยกเที่ยวศรีลังกา ทั้งหมด 3 รอบ โดยรอบล่าสุดนี้ ไปเที่ยว 1 เดือนเต็ม มีประสบการณ์เที่ยวที่นี่หลายรอบแล้ว เลยพอรู้ที่กินที่เที่ยว และเน้นเที่ยวแบบชิวๆ อยู่แต่ละเมืองนานๆ จนอิ่มใจ และเดินเลือกหาที่พักแบบประหยัดเอง ทั้งยังต่อรองราคา เพราะอยู่หลายคืน ส่วนการเดินทาง ก็ไม่ได้ซื้อล่วงหน้าค่ะ เพราะตามอารมณ์ อยากย้ายเมืองก็ย้าย เที่ยวแบบชิวสุดๆ เลยไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายไว้ค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ทั้งนี้ ค่าครองชีพที่ศรีลังกาไม่สูงค่ะ ยิ่งหากเน้นเที่ยวแบบพื้นเมืองๆ และเน้นทานอาหารพื้นเมืองๆ ค่าใช้จ่ายถูกกว่ากทม.นะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
อ๋อ ขอบคุณค่ะ
สามารถหาตารางรถทัวร์จากโคมลัมโบไปสิคิริยาได่จากไหนหรือคะ
สวัสดีค่ะ คุณ fir
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂 จะบอกว่าหาไม่ได้ค่ะ เพราะการเดินทางไป สิกิริยา ค่อนข้างยากและใช้เวลานาน แทบจะทั้งวันเลยค่ะ เพราะไม่มีรถสาธารณะตรงจาก โคลัมโบ แต่มีรถทัวร์ตรงจาก แคนดี้ ไปยัง สิกิริยา ประมาณ 3 ชั่วโมง ดังนั้นอาจจะต้องเดินทางจากโคลัมโบเข้าแคนดี้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง แล้วต่อไปสิกิริยาค่ะ หรืออีกตัวเลือกคือ นั่งรถไฟหรือรถทัวร์จาก โคลัมโบ ไปลง Habrana แล้วต่อแท๊กซี่หรือตุ๊กตุ๊กไปยัง สิกิริยา ค่ะ
ทั้งนี้ หยกจัดทริปเที่ยวศรีลังกาด้วยนะคะ ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ค่ะ ลองเข้าไปดูรายละเอียดในลิ้งค์ได้ เผื่อได้ไปเที่ยวด้วยกันค่ะ 🙂 หากมีคำถาม ข้อสงสัย หรืออื่นใด สอบถามเข้ามาได้เลยนะคะ 🙂
กำลังจะเกินทางไปศรีลังกาครั้งแรก 22กุมภาฯนี้ค่ะ ไม่มีความรู้เรื่องศรีลังกาเลยค่ะ แต่ได้เข้ามาอ่านที่คุณหยกเจียนไว้ทำให้ได้ความรู้เสอะเลยค่ะ แต่อยากทราบเรื่องการเดินทางค่ะตั้งแต่จากสนามบิน เดินทางด้วยรถอะไรและพีกที่โรงแรมไหนบ้างค่ะ รบกวนข้อมูลหน่อยได้ไหมค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณเปิ้ล
คุณเปิ้ลต้องหลงรักประเทศนี้แน่นอนค่ะ ดีใจค่ะดีใจที่มีคนจะไปเที่ยวศรีลังกา 🙂
การเดินทางออกจากสนามบินนั้นสะดวกมากค่ะ โดยจะมีรถแท๊กซี่ไว้รอมากมายที่หน้าสนามบินเลยค่ะ เรียกไปได้หมดค่ะ ส่วนการเดินทางระหว่างเมืองนั้นก็สะดวกเช่นกัน มีทั้งรถประจำทางและรถไฟค่ะ แต่จะใช้เวลาการเดินทางที่นานหน่อย รถเป็นแบบหวานเย็นค่ะ ตีไปเลยว่าใช้เวลาการเดินทางก็ครึ่งวันกว่าๆไปแล้วค่ะ ทั้งนี้ขึ้นกับไปใกล้ไกลแค่ไหนนะคะ
เรื่องที่พักนี้หยกไม่ได้จองล่วงหน้าค่ะ เดินหาเอาเมื่อไปถึงเมื่อนั้นๆ เพราะว่าจะได้ดูสภาพห้องพัก ทำเล และต่อรองราคาค่ะ แต่ถ้าเน้นสะดวก ไม่อยากแบกกระเป๋าเดินหาที่พัก 4-5 ที่พักเพื่อเปรียบเทียบแบบหยก (บางทีก็เป็นสิบเลยค่ะ) ก็แนะนำให้จองออนไลน์ไปจะดีกว่าค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ เดินทางปลอดภัย เที่ยวเผื่อหยกด้วยค่ะ 🙂