
เรื่องของ อาหารเป็นพิษ กับการท่องเที่ยวนั้น เป็นอะไรที่ไม่มีใครอยากประสบพบเจอระหว่างการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวประเภทลุยๆอย่างแบ็คแพ็ค, แค้มปิ้ง หรือ เทรคกิ้ง การที่ต้องท้องเสียและ/หรืออาเจียนอยู่ตลอดทั้งยามกลางวันและกลางคืน นอกจากจะไม่ได้นอนแล้ว ยังทานอะไรไม่ลงอีกด้วย คือแค่ ท้องเสีย (และอาเจียน) เป็นระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็หนักหน่วงและเหนื่อยมากพอแล้ว แต่หากต้องเข้าห้องน้ำต่อเนื่องถึง 3 – 4 วัน ทั้งยังทานอะไรไม่ได้เลยด้วยล่ะ! ยังไม่พอ… หากต้องอยู่ในสถานที่ที่กันดาร ไม่ได้มีห้องน้ำ(และน้ำ)หรือแม้กระทั่งกระดาษทิชชู่ที่สะดวกสบายอีกด้วยล่ะ!
- ประสบการณ์ของความทรมาน อาหารเป็นพิษ ตลอดทั้ง 5 วัน
- แล้วเราจะหลีกเลี่ยง อาหารเป็นพิษได้อย่างไร
- หากเกิดอาการอาหารเป็นพิษแล้ว ควรทำอย่างไร
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
มีเพื่อนๆ หลายท่านให้ความสนใจ หลังจากอ่านรีวิวการท่องเที่ยวของหยก ที่มีรูปแบบที่ค่อนข้างลุย ไปในที่ๆ มีนักท่องเที่ยวน้อยๆ ชอบขวนขวายหาสถานที่เที่ยวใหม่ๆ และได้เที่ยวได้สัมผัสแต่ละที่แบบเต็มๆ บอกว่า “ดูสนุกมากๆ เป็นสไตล์การท่องเที่ยวที่หายาก ไม่ค่อยมีใครเที่ยวแนวนี้กัน และอยากให้หยกจัดทริปพาเที่ยว” ในที่สุด หยกได้จัดทัวร์พาเที่ยวแล้วนะคะ เย้ๆๆ หยกเลยถือโอกาสนี้ ทำโพสต์ถึงเหตุผลที่หยกจัดทริป ทำไมทัวร์ของหยกจึงแตกต่าง และ ทำไมต้องมาเที่ยวกับหยก? มาไว้ที่นี้ค่ะ มาร่วมทริปร่วมสนุกด้วยกันนะคะ
ก่อนจะไปอ่านคำแนะนำของการหลีกเลี่ยงปัญหาอาหารเป็นพิษ และหากเกิดอาการอาหารเป็นพิษขึ้นแล้ว จะจัดการอย่างไร? ก็มาฟังเรื่องเล่าประสบการณ์ของความทรมานแรกของหยกก่อนดีกว่าค่ะ

1. ประสบการณ์ของความทรมาน อาหารเป็นพิษ ตลอดทั้ง 5 วัน
ครั้งแรกที่ทรมานสุดๆ ครั้งแรกของหยกกับอาหารเป็นพิษที่ ท้องเสีย อาเจียน และทานอะไรไม่ได้เลยต่อเนื่องยาวนานถึง 3 วัน ทั้งยังปวดท้อง ปวดบิดต่ออีกถึง 2 วัน ท่ามกลางการเดินทางบนถนนที่คดโค้งและขรุขระของ Pamir Highway เป็นระยะเวลากว่า 7 ชั่วโมง (ในวันแรก) ที่ตลอดข้างทาง แทบจะทุก 20 – 30 นาที คือ “ห้องน้ำดีๆของหยกนั่นเอง” แล้วต่อด้วยการนอนใน yurt ที่ Kara-Jilga บนที่สูงกว่า 4,300 เมตร กับห้องน้ำแห้ง(แบบส้วมหลุม)ที่แสนไกลแบบบนเขาสูง ที่สูงแค่เอวและใช่ค่ะ ที่ไม่มีแม้กระทั่งประตูและหลังคา ทำให้คนป่วยอย่างหยกต้องกึ่งเดินกึ่งคลานกว่า 400 เมตรจึงจะถึงห้องน้ำท่ามกลางความหนาวเย็นบนเขาสูง จนหมดเรี่ยวแรงที่ไม่มีมากขึ้นไปอีก ทั้งเหนื่อยและเพลียสุดๆ แต่ก็ยังต้องลากสังขารพร้อมความทรมานกับน้ำตาที่นองหน้า เพื่อไปให้ถึงห้องน้ำแทบจะทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้ จนเพื่อนแซวว่า “เดินเลื้อยๆ หมดแรงเหมือนงูแก่” ทำให้ต้องอดไปเทรคกิ้ง 3 วัน 3 คืนกับเพื่อนๆไปหนึ่งเทรค

–อาหารตัวต้นเหตุ–
คืนก่อนเกิดเหตุ เราทั้งสี่คนสั่งอาหารมื้อเย็นจานเดียวกัน โดยมีหยกกับเพื่อนอีกคนที่สลับกันเข้าห้องน้ำในคืนแรก (พักกันที่ที่พักแบบประหยัดที่เป็นแบบห้องน้ำรวม) แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนคนนั้นก็หายและสบายดี มีแต่หยกเท่านั้นที่ยังคงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอยู่ตลอดวัน
–ของเสียออกพร้อมๆ กัน 2 ทิศทาง–
ครั้งแรกที่ของเสียออกพร้อมๆ กันถึง 2 ทาง จน(อ้วก)เลอะเทอะขากางเกง และพื้นส้วมของชาวบ้านไปหมด แต่ยังต้องลากสังขารเพื่อไปล้างขาและขากางเกงที่ลำธารใกล้ๆก่อนที่จะเดินกลับพร้อมกลิ่นตุๆไปที่ yurt และวานให้เพื่อนร่วมทริปช่วยเอาน้ำไปราดพื้นส้วมให้ โชคดีที่เพื่อนร่วมทริปรักหยกมากกกก เลยไม่มีใครเอาน้ำไปราดพื้นให้ และโชคดียิ่งกว่าที่เจ้าของ yurt เห็นใจ(สงสาร)และเข้าใจ จึงเป็นคนไปราดน้ำล้างพื้นส้วมให้ ซึ่งความเลอะเทอะนี้ไม่สามารถควบคุมได้ จึงเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง
ไหนจะทานอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งการดื่มน้ำ ก็ทำให้อ้วกออกมาหมดเช่นกัน ยากฏิชีวนะที่ทานไปก็คงออกฤทธิ์ไม่เต็มที่นัก เพราะอ้วกที่ออกมาช่างขมแสนขมเหลือเกิน
“มือหนึ่งถือยาดม อีกมือถือทิชชู่ ไหนจะกึ่งเดินกึ่งคลานกว่าจะถึงบริเวณที่เรียกว่า “ห้องน้ำแห้ง ที่ทุกอย่างทับถมลงไป แต่สิ่งที่เพิ่มคือกลิ่น!” ลองพิจารณาดูสิคะ ว่าการที่คนที่คลื่นไส้อยู่ ต้องมาเจอกับกลิ่นเหล่านี้ ความอยากอ้วกจะยิ่งทวีคูณขนาดไหน หยกต้องอาศัยยาดมอัดจมูก สลับข้างไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำธุระเสร็จ ทั้งปวดท้อง ทั้งคลื่นไส้ ทั้งอยากอ้วกแต่อ้วกไม่ออก ทั้งหนาว ทั้งขาก็เป็นเหน็บจากการที่นั่ง(บนส้วมหลุม)เป็นเวลานานๆ ทั้งร้องไห้จนน้ำตานองหน้า ทรมานเป็นที่สุด”
แถมตกค่ำยังมีไข้ต่ำๆอีกด้วย วันและคืนแรกผ่านไปด้วยความทรมาน กับการทานอาหารเช้าไม่ได้ และการถูกบังคับให้ทานคุกกี้(ธรรมดาๆ)เป็นอาหารเที่ยงไป 1 ชิ้นถ้วน เพราะต้องทานยาปฏิชีวนะ กับข้าวต้มเป็นอาหารเย็นไป 1 ช้อนถ้วน ซึ่งถูกบังคับให้ทานอีกเช่นกันเพราะต้องทานยา ไหนจะการถูกบังคับให้ดื่มน้ำเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป ที่ยิ่งทำให้ผะอืดผะอมและกระตุ้นให้อยากจะอ้วกทุกครั้งที่จิบ

–ไม่ได้ไปเทรค แล้วไปอยู่ไหน–
ถึงใจจะสู้ ลุ้นว่าตอนเช้าอาการจะดีขึ้น จนได้ไปเทรคกับเพื่อนๆ แต่อาการ ท้องเสีย และ คลื่นไส้ ยังคงมีต่อเนื่อง ทั้งความเพลีย และ อ่อนล้าสุดๆจากการไม่มีน้ำและอาหารตกถึงท้อง ไหนจะยังสูญเสียน้ำอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ต้องถอนใจ บ๊ายบายกลุ่มเพื่อนที่เดินหน้าเทรคต่อ แล้วคืบคลานลากสังขารอย่างต่อเนื่องไปยังที่ๆคุ้นเคย(ส้วม)

เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่เราเหมารถจี๊ปเพื่อเดินทาง เพื่อนๆ จึงส่งต่อการดูแลหยกไปฝากไว้กับคนขับรถสุดชิว ที่จะมุ่งหน้าไปค้างแรมที่ แค้มป์ล่าสัตว์ (hunting camp) ที่ห่างออกไปอีก 2 – 3 ชั่วโมงด้วยถนนอันสุดทรหด เพื่อรอให้ถึงวันที่เทรคเสร็จ แล้วขับรถไปรับเพื่อนๆ ตามเวลานัดหมายที่ปลายทางในอีก 3 วันข้างหน้า
การต้องนั่งรถไปตามเส้นทางที่แสนจะขรุขระและคดโค้งทั้งๆที่ยังมีอาการท้องเสียและคลื่นไส้นั่นทรมานมากนอกจากยาดมและกระดาษทิชชู่ที่หยกต้องถือไว้ไม่ห่างตัวแล้วยังมีบ๊วยเค็มที่หยกต้องอมแทบจะตลอดเวลาเพื่อทุเลาอาการคลื่นไส้ที่มี
แค้มป์ล่าสัตว์แห่งนี้ค่อนข้างสะดวกสบาย หยกมีห้องส่วนตัว ทั้งห้องน้ำที่ยังคงเป็นแบบส้วมหลุมแบบแห้ง แต่สะอาดสะอ้านและห่างออกไปจากห้องนอนแค่ไม่ถึง 5 เมตรเท่านั้นเอง (แต่ไม่อยากจะบอกเลยว่า แค่ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่หยกถึงที่นี่ หยกก็ได้ทำลายความสะอาดของส้วมไปแล้ว ทั้งแมลงวันก็มากมาย ทั้งกลิ่นที่คงไม่ต้องให้บรรยาย)
วันนี้หยกอยู่แค่สองที่ คือบนเตียงนอนกับห้องน้ำเท่านั้น โดยที่มีทิชชู่และบ๊วยเค็มวางอยู่ใกล้ๆ และมือยังกำยาดมไว้อยู่ตลอดเวลา ยังไม่มีแรงสนทนากับคนที่อยู่ที่นี่ และเช่นเคยยังคงมีไข้ต่ำๆในช่วงเย็นๆ วันนี้หยกทานคุกกี้ 3 ชิ้นค่ะเช้ากลางวันและเย็น
–แค้มป์ล่าสัตว์–
แค้มป์ล่าสัตว์แห่งนี้อยู่ที่ Jarty Gumbez ซึ่งสูง 4,130 เมตร เป็นบริเวณที่มี hot spring ที่นี่จึงมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่น่าสนใจและน่าลงไปแช่มาก แต่ด้วยความที่ทั้งเพลีย ทั้งเหนื่อย ทั้งทรมาน ทั้งเสียน้ำไปตลอดวันเป็นเวลากว่า 2 วัน จึงไม่มีความคิดที่อยากจะลงไปแช่ในน้ำร้อนกว่า 41 องศา ที่อาจจะเป็นลมล้มพับไปในอ่างได้

พี่คนครัวเตรียมอาหารที่น่าทานมากๆ เนื้อแกะล้วนๆ ดูนุ่มนิ่มน่าลิ้มรสสิ้นดีมาเสิร์ฟให้ถึงห้องนอนแต่ความไม่อยากอาหารและคลื่นไส้ยังมีอยู่เต็มกำลังจึงกล่าวขอบคุณและส่งอาหารคืนพร้อมกับขอคุกกี้พร้อมชาร้อนมาแทนซึ่งแน่นอนค่ะแม้จะทานอะไรไม่ได้แต่หยกก็พยายามที่จะดื่มน้ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
–อาหารมื้อแรก–
โชคดีคืนนี้นอนหลับสบาย สงสัยคงจะเพราะเพลียจัด คืนนี้เลยได้หลับยาว ไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำเลย เช้าวันรุ่งจึงรู้สึกดีขึ้นมากๆ คิดเอาไว้ว่าหายแล้วแน่ๆ เพราะเมื่อคทนไม่ได้ลุกมาเข้าห้องน้ำเลย ถึงแม้จะยังเหนื่อยและเพลียอยู่ก็ตาม ตอนนี้ยังคงไม่มีความอยากอาหาร แต่กลับรู้สึกหิวเล็กๆ ขอไข่ต้มไป 2 ฟองพี่คนครัวดูยิ้มตาโตคงจะเป็นเพราะเห็นหยกขออย่างอื่นนอกจากคุ้กกี้และชาร้อน
หยกยังจำได้ดี หยกรีบแกะเปลือกไข่อย่างไว และเมื่อตอนที่กัดคำแรกนั้น ไข่ต้มอร่อยสุดๆ อย่างกับได้กินอาหารชั้นเลิศจากมิชิลินสตาร์ จำได้ดีว่ากินไปแต่ละคำ ก็ส่งเสียงร้องอย่างเอร็ดอร่อยอยู่คนเดียวในห้อง ช่างเป็นไข่ต้มที่เนื้อเนียนนุ่มละมุนลิ้นและฟินเป็นที่สุด
–น้ำพุร้อนธรรมชาติ–
หลังจากละเลียดและฟินกับไข่ต้มเสร็จ หยกก็รู้สึกมีพลังขึ้นมาสักนิดและเริ่มรู้สึกเบื่อเตียงนอนแล้ว คงเป็นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งยังเริ่มทานอาหารมื้อแรกได้อีกด้วย ถึงแม้จะยังเพลียมาก จึงตัดสินใจไปอาบน้ำและแช่น้ำพุร้อน ที่สำคัญคือซักกางเกงที่เปื้อนและเหม็นอ้วก (ที่หยกต้องเอายาดมเหยาะๆเพื่อดับกลิ่นไว้) แต่ด้วยความที่แรงไม่ค่อยมีการซักผ้าจึงใช้เวลาค่อนข้างนานการอยู่ในที่ร้อนๆ แบบนี้จึงนานกว่าที่วางแผนไว้ทั้งๆ ที่หยกแค่ต้องการทำความสะอาดร่างกายโดยแช่ในน้ำพุร้อนไม่นานเพราะร่างกายยังเพลียอยู่กลัวจะเป็นลมไป

พอเสร็จสรรพรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเลยค่ะ แต่เพลียกว่าเมื่อเช้า คงเพราะเสียน้ำออกไปกับความร้อนในห้องน้ำพุร้อนไปเยอะ จึงรีบดื่มน้ำให้เยอะเท่าที่จะดื่มได้ ด้วยความเพลียจึงมุ่งตรงไปสลบเมือดบนเตียง ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง ก็เวลาอาหารเที่ยงพอดี ท้องเริ่มรู้สึกหิว (แต่ยังไม่มีความอยากอาหาร) และเริ่มรู้สึกเบื่อ หยกรีบดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนที่จะเดินไปยังห้องทานอาหาร ที่มีคนนั่งอยู่จำนวน 8 คน ที่เมื่อหยกเดินเข้าไป ทุกคนคือดูตกใจปนดีใจ คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็บอกว่า “โอ้โห ดีใจสุดๆ ที่ในที่สุดหยกก็สามารถเดินตัวตรงและยิ้มได้ และดีใจมากๆ ที่หยกออกจากห้องนอนและสามารถมาร่วมโต๊ะอาหารได้” อีกหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ยิ้มกว้างให้แล้วเอามือขวาจับที่หน้าอกซ้ายพร้อมกับก้มศีรษะ แต่ก็ยังไม่วายที่แอบผิดหวังเบาๆ เมื่อหยกยังคงสั่งไข่ต้ม 2 ฟอง
–วันที่ 3 ที่อุตส่าห์ดีใจคิดว่าหายแล้ว แต่ยังคงเข้าห้องน้ำถึง 8 ครั้ง คงไม่ต้องถามว่าสองวันแรก เข้าไปกี่รอบ–
หลังจากลั้นล้าได้ไม่นาน ห้องไส้ก็กลับมาปั่นป่วนอีก ท้องเสีย เลยต้องกลับไปยังที่คุ้นเคยตลอดช่วงบ่ายถึง 8 รอบ ช่างเหนื่อยและทรมานเป็นที่สุด โดยระหว่างนี้หยกยังคงพยายามที่จะดื่มน้ำ(ชาร้อน)ให้ได้มากที่สุด
หลังจากดื่มน้ำไปเยอะพอควร และเริ่มเบื่อกับเตียงนอนสุดๆ จึงตัดสินใจไปแช่น้ำพุร้อนอีกสักรอบ ครั้งนี้ตั้งแต่แช่จริงๆ (แต่แน่นอนค่ะ อาบน้ำล้างตัวก่อนลงแช่) รู้สึกสบายตัวและสดชื่นมากๆหลังจากแช่ได้ไม่นานก็เริ่มรู้สึกร้อนและหายใจไม่สะดวกจึงตัดสินใจขึ้นและรีบดื่มน้ำตามมากๆ
ข้างนอกอากาศเย็นสบาย ฟ้าแจ่มมาก ก็แน่นอนล่ะ นี่อยู่สูงตั้ง 4,130 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเลยนี่นาหลังจากสบายตัวและรู้สึกเบื่อสุดๆจึงออกมานั่งเล่นตากลมข้างนอกอาการท้องเสียหายไปแล้วยังคงมีก็แต่มวนท้องและท้องร้องตลอดเวลาแต่ไม่ได้ร้องแบบหิวนะคะ
–ข้าวสวยร้อนๆมื้อแรก–
ตกมื้อเย็น หยกเข้าไปร่วมทานอาหารที่ห้องทานอาหาร ทุกคนดูดีใจ แต่หยกยังคงขอไข่ต้มเช่นเคย ก็อาการอยากอาหารยังไม่กลับมานี่นา แต่สิ่งที่มาเสิร์ฟตรงหน้านั่นมีไข่ต้มถึง 3 ฟอง พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามด้วยหอมใหญ่, มะเขือเทศ และแตงกวา ต่อมหิวเลยเริ่มทำงาน อยากได้ก็แต่ซีอิ้วสิทีนี้ แต่ไม่มี เลยใส่เกลือกับพริกไทยดำแทนค่ะ ไม่งั้นคงจะฟินมากกว่านี้ อารมณ์ตอนนี้คือคิดถึงบ้านขึ้นมาทันที

–นอนไม่หลับ–
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้ออาหารสุดจะธรรมดาที่หยกทานจนเกลี้ยงแต่อร่อยเป็นที่สุดแล้วก็ถึงเวลานอนแต่ด้วยความที่นอนเยอะนอนจนเจ็บกล้ามเนื้อหลังไปหมดคืนนี้เลยทรมานกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งลุกทั้งนั่งพลิกซ้ายทีพลิกขวาสองทียังไงก็นอนไม่หลับทั้งคืนเลยค่ะแต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ท้องเสียแล้ว
–อะไรนะวันที่ 4 แล้ว แต่ยังคงถ่ายท้องอีกตั้ง 3 ครั้ง–
วันนี้เป็นวันนัดหมายที่จะต้องไปรับเพื่อนที่เทรคเสร็จ หยกเลยดีใจและตื่นเช้า(ลุกออกจากเตียงเร็ว)เป็นพิเศษ ถึงแม้จะยังเพลียที่ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็ไม่วายไปล้างหน้าล้างตากับน้ำพุร้อน ก่อนมาทานไข่ต้ม แล้วบอกลาพร้อมขอบคุณที่ดูแลหยกเป็นอย่างดี ก่อนจะรีบขึ้นรถ ไปตามถนนที่ทำให้หยกต้องพึ่งยาดมและบ๊วยเค็มตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงจนถึงจุดหมาย
เพื่อนๆดีใจรับวิ่งมาหา หลังจากทราบว่าหยกดีขึ้น รับรายงานและเล่าทันทีว่าหยกพลาดมากและเทรคนี้สนุกขนาดไหน แหมๆๆ รักกันจริ๊ง!
เที่ยงมื้อนี้ หยกทานก๋วยเตี๋ยวที่เรียกว่า lagman ไปได้นิดหน่อย ก็ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำอีกแล้ว นี่มันวันที่ 4 แล้ว ทำไมยังไม่หาย ปวดท้องแทบจะตลอดเวลา หิวก็ปวด กินอิ่มก็ปวด ทั้งยังคลื่นไส้อีก ทรมานสุดๆ มื้อเย็นหยกเลยขออาหารที่คุ้นเคย ไข่ต้ม 2 ฟอง

–วันที่ 5 อยากกลับบ้าน! ปวดท้อง ปวดบิด ทรมานสุดๆ–
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทานยาปฏิชีวนะแล้ว แต่อาการปวดท้องแบบบิดๆและคลื่นไส้ยังไม่จากไป คิดไว้เลยว่าถ้าพรุ่งนี้ยังไม่หาย หยกจะเปลี่ยนตั๋วกลับบ้านแล้ว ไม่ก็บินไปหาน้องไข่(น้องสาว)ที่อยู่ยุโรปซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนี่เอง เพราะหยกมีวีซ่าเชงเก้นอยู่ เข้าประเทศได้สบายมาก
พอวันรุ่งขึ้น อาการหยกดีขึ้นมากๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการปวดท้องและคลื่นไส้หายไป เหลือแค่รู้สึกไม่สบายท้องและท้องร้องโครกคราก(สงสัยหิว) ความหิวและความอยากอาหารกลับมาแบบเต็มพิกัด สงสัยมันกลัวจะอดเที่ยว และได้กลับบ้านสินะ
–เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า–
ถึงแม้เราจะสั่งอาหารเหมือนกับเพื่อน ก็ใช่ว่าจะท้องเสียเหมือนกันทุกคน ก็ภูมิคุ้มกันของแต่ละคนนั้นต่างกันนี่นา

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
2. แล้วเราจะหลีกเลี่ยงอาหารเป็นพิษได้อย่างไร
- ให้มั่นใจว่าอาหารที่ทานนั้นพึ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยังคงร้อนอยู่ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ทำทิ้งไว้จนเย็น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลิตภัณฑ์ของเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่นั้นห่างไกลกันดาร ไม่มีตู้เย็นที่จะเก็บเนื้อสัตว์เหล่านั้นได้
- ผักและผลไม้สดก็เช่นกัน ควรแน่ใจว่ามีการล้างอย่างสะอาด ด้วยน้ำที่สะอาด ด้วยน้ำที่สามารถดื่มได้ หรือเลือกประเภทที่สามารถปอกเปลือกทานได้ เช่น กล้วย หรือ แตงกวา เป็นต้น
- ดื่มน้ำดื่มที่อยู่ในภาชนะที่พึ่งเปิดใหม่จากขวด หรือเป็นน้ำต้ม(จนเดือด)สุกเท่านั้น หรือ เลือกดื่มชาร้อน เป็นต้น
- สุขอนามัยจากตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน จึงหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำและก่อนทานอาหาร

3. หากเกิดอาการอาหารเป็นพิษแล้วควรทำอย่างไร
- หากทราบแน่ๆว่าเป็นอาการอาหารเป็นพิษแล้วหากมีอาการคลื่นไส้ให้พยายามอ้วกให้ออกอาจจะต้องใช้วิธีการล้วงคอช่วยก็ควรทำนะคะจะได้เอาอาหารที่ทานที่อาจเป็นต้นเหตุออกและจะได้รู้สึกโล่งและสบายขึ้น
- ทานยาปฏิชีวนะ(ที่แนะนำให้พกไปด้วย)ให้ครบคอร์ส โดยต้องปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการและข้อคำแนะนำก่อนทำการซื้อยานะคะ
- พยายามดื่มน้ำให้มากๆเพื่อทดแทนอาการขาดน้ำจากการถ่ายท้องและ/หรืออาเจียน
- พยายามทานอาหารสักนิดสักหน่อยก็ยังดี เช่น คุกกี้ แครกเกอร์ ข้าวต้ม หรือ น้ำซุป เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานและเพื่อที่จะได้ทานยา
- หากมีไข้ ให้ทานยาลดไข้
หยกไม่เคยอาหารเป็นพิษมาก่อน อย่างมากก็แค่ถ่ายท้อง 2 – 3 ครั้ง แล้วก็หาย นี่เป็นครั้งแรกที่ยาวนานถึง 5 วัน ที่ร้องไห้ทุกวันและทุกครั้งที่ต้องลากสังขารตัวเองไปให้ถึงห้องน้ำ เพราะต้องกลั้นและพยายามไม่ให้ปล่อยออกมาระหว่างทาง ยังไม่พอยังออกพร้อมๆกันสองทาง “ประมาณว่าหายใจเข้า ก็จู๊ดๆทางทวาร พอหายใจออก ก็พุ่งออกทางปาก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายที” จึงเป็น 5 วันที่ยาวนานและทรมานเป็นที่สุด แต่อตรนี้พอเล่าให้ใครฟังก็กลายเป็นเรื่องฮาที่สุด ซึ่งก็จริงค่ะ พอหยกนึกย้อนกลับไป มันก็ฮาและตลกอย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว

ใครเคยมีประสบการณ์ อาหารเป็นพิษ วิธีการดูแลตัวเองการป้องกันหรือเรื่องเล่าอื่นๆที่อยากแบ่งปันเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ป้องกันได้ทันจะได้ไม่มีใครซ้ำรอยหรือหากต้องซ้ำรอยอย่างน้อยก็จะได้รู้จักการดูแลให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ หากเพื่อนๆ กำลังวางแผนจะไปเที่ยวที่ คีร์กีซสถาน และมองหาสถานที่เทรคกิ้งอื่นๆ อีก หยกก็มีมาแนะนำค่ะ สวยงามมากๆ และน่าเดินมากๆ เหมือนกัน นั่นก็คือ Heights of Alay Trek ซึ่งหยกได้แบ่งออกเป็น 2 บทความนะคะ อีกอันจะเป็นตอนข้ามพาส Sary Mogol Pass ค่ะ และ Keskenkyia Loop Trek ซึ่งหยกก็แบ่งออกเป็นสองบทความเช่นกัน คือ Keskenkyia Loop Trek 1 และ Keskenkyia Loop Trek 2 นะคะ และอีกเส้นทางที่ฮิตสุดๆ ก็คือ Ala Kul Trek ค่ะ คลิ๊กลิ้งค์เข้าไปอ่านได้เลยนะคะ
มีข้อสงสัย คำถาม หรือ อยากแชร์เรื่องเที่ยว คอมเม้นต์ที่ช่องนี้ได้เลยค่ะ