
ไร่ชา กับ ศรีลังกา เป็นของคู่กัน ใครมาเที่ยวศรีลังกา เมืองแห่งชาซีลอน ไม่เพียงแต่ต้องซื้อ ชาซีลอน กลับไป แต่ต้องไปเยี่ยมชมไร่ชา ดูการเก็บยอดอ่อนใบชาที่รวดเร็วปาดสายฟ้าฟาด เสียงดัง “ปัก ปัก ปัก” แต่ละเอียดอ่อนดั่งปุยนุ่น จากสาวๆ ชาวทมิฬ (Tamil) เข้าชมโรงงานดูขั้นตอนการผลิตชา แต่อย่าคิดว่าไร่ชาทุกที่ จะเหมือนกันหมดนะคะ อย่าคิดแต่ว่าที่ศรีลังกา มีไร่ชาแค่ที่ Nuwara Eliya นะคะ หยกขอแนะนำให้ไป เที่ยว Lipton’s Seat ไร่ชา unseen ของคุณลุงลิปตัน ในเมือง Haputale กันค่ะ
- เที่ยว Lipton’s Seat มีอะไร อยู่ที่ไหน
- เที่ยว Lipton’s Seat เสียค่าเข้าไหม เสียเท่าไหร่ ซื้อตั๋วตรงไหน
- จะไป เที่ยว Lipton’s Seat ต้องเดินทางไปที่ไหน ยังไง ค่าเสียหายประมาณเท่าไหร่
- จุดเด่นของการมา เที่ยว Lipton’s Seat มีอะไรให้ชม หรือ กิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง และควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ร้านอาหารมีไหม ราคาเท่าไหร่
- เที่ยว Lipton’s Seat เดินยากหรือเปล่าเนี่ย หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร ระยะทางไกลแค่ไหน เดินนานขนาดไหน
- ควรเริ่มเดินขึ้น เที่ยว Lipton’s Seat กี่โมงดีน้าา ช่วงไหนถ่ายรูปสวย หมอกไม่จัด และคนไม่เยอะ
- ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินขึ้น เที่ยว Lipton’s Seat จะทำอย่างไรละเนี่ย
- เรื่องเล่าระหว่างการเดินขึ้น-ลง เที่ยว Lipton’s Seat สนุกแค่ไหน มันส์ยังไง อะไรที่ประทับใจ
- สิ่งที่ต้องเตรียม ข้อควรรู้ ข้อควรระวัง และ ข้อไม่ควรปฏิบัติ ในการ เที่ยว Lipton’s Seat
ก่อนจะไปเก็บยอดอ่อนใบชากัน หยกก็มี ข้อมูลท่องเที่ยวศรีลังกา ที่มีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางท่องเที่ยวเองในศรีลังกามาฝากค่ะ และสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ ที่ห้ามพลาดในศรีลังกา มาแนะนำด้วยนะคะ ก็มาดูกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าเที่ยวศรีลังกาทริปนี้ หยกทำอะไร ที่ไหน ยังไงบ้าง
เริ่มทริปด้วยการปั่นจักรยานชม เมืองหลวงโบราณ Anuradhapura (อนุราธปุระ) อันศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับ การสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์
จากนั้นก็ขึ้นเหนือ ไปปั่นจักรยานชมเมืองทะเลต่อ ที่ เมือง Jaffna (จาฟฟ์น่า) เมืองทางภาคเหนือ ที่พึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต ซึ่งยังมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ
แล้วก็ขอพักเบรค ผ่อนคลายกล้ามเนื้อขา ที่เมื่อยล้าเบาๆ พักผ่อนชิวๆ ริมหาด กับที่พักถูกสุดฤทธิ์สัก 2 – 3 วัน ที่ Uppuveli (อัปปูเวลี่)
แล้วหยกก็ไปชม พระราชวังลอยฟ้า Sigiriya (สิกิริยา) เป็นพระราชวังที่เริ่ด และ วิวดีสุดๆ ด้วยระยะทางเดินสั้นๆ ที่ใครๆ ก็มาได้ แต่ทางเดินนี่สิ ฟินเว่อร์อย่าบอกใคร
จากนั้น ก็ไปพักผ่อนที่ เมือง Kandy (แคนดี้) เมืองท่องเที่ยวหลักที่ครบเครื่อง ไม่หลับใหล มีทะเลสาบกลางใจเมือง มีสมบัติล้ำค่าของชาวพุทธ และ มีสวนพฤกษชาติที่มีชื่อเสียง ติด 1 ใน 10 ในเอเชียใต้
แล้วก็ต่อด้วยการไปชมพระอาทิตย์แรกของวัน และ สักการะรอยพระพุทธบาท ที่ Adam’s Peak หรือ Sri Pada โดยต้องเดินขึ้นบันไดมากกว่า 5,000 ขั้น เพื่อนๆ สามารถคลิ๊กอ่านที่ตัวหลังสือสีส้มๆ ได้เลยนะคะ
จากนั้นก็มาที่ เมือง Haputale (ฮาปูตาเล) นี่แหละค่ะ เมืองที่ถูกลืม เมืองเนินเขา เมืองหมอก เมืองไร่ชาขนาดใหญ่ และเมืองที่มีอากาศเย็นตลอดปี ซึ่งหยกก็ได้ไปเที่ยวชมไร่ชา Lipton’s Seat และ ไปไฮกิ้งใน อุทยานแห่งชาติ Horton Plains นี่แหละค่ะ สนุกมากๆ และยังมีอีกที่ ที่ขอพักผ่อนชิวๆ ก่อนกลับไทย ซึ่งหากโพสต์คลอดแล้วจะเอามาแปะให้อ่านนะคะ

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
1. เที่ยว Lipton’s Seat มีอะไร อยู่ที่ไหน
Lipton’s Seat เป็นไร่ชา unseen ของคุณลุงลิปตัน (Sir Thomas Lipton) ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,970 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อยู่ไม่ห่างจากเมือง Haputale มากนัก ประมาณ 16 กิโลเมตร และห่างจากโรงงานผลิตชา Dambatenne (Dambatenne Tea Factory) ประมาณ 6 – 7 กิโลเมตร ค่ะ โดยที่ Haputale ได้รับการจัดอันดับจาก CNN ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกหลงลืม 1 ใน 25 ในเอเชีย ที่ควรไป
ความมหัศจรรย์ของ Lipton’s Seat
วิวที่เห็นระหว่างทางขึ้นจาก โรงงานผลิตชา Dambatenne ไปจนถึง Lipton’s Seat ทั้งซ้ายขวา และด้านหน้าและหลัง คือ เนินไร่ชาทั้งหมดเลยค่ะ เขียวขจี สวยมาก หากใครที่ขึ้นไป Lipton’s Seat โดยรถตุ๊กตุ๊ก ก็คงจะขอให้พี่คนขับจอดอยู่เกือบจะตลอดทางเลยค่ะ ส่วนใครที่เดินขึ้น ก็คงใช้เวลามากเป็นสองเท่า จากเวลาที่ควรจะถึง Lipton’s Seat เลยทีเดียว

แนะนำให้ไปเช้าๆ นะคะ แสงจะสวยมาก โดยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะมีแค่สีเขียวอ่อนๆ นีออนๆ ของยอดอ่อนใบชาที่กระทบกับแสงแดด สีฟ้าของท้องฟ้า และสีขาวของก้อนเมฆ เท่านั้นเองค่ะ หากสายหน่อยก็จะมีหมอกหนาลอยไปมา สวยไปอีกแบบ ต้องรอลุ้นว่าลมจะพัดหมอกไปเมื่อไหร่ แล้วจะได้เห็นท้องฟ้า ฟ้าๆ ตอนไหน สนุกดีค่ะ
2. เที่ยว Lipton’s Seat เสียค่าเข้าไหม เสียเท่าไหร่ ซื้อตั๋วตรงไหน

ระหว่างทางขึ้น จาก โรงงานผลิตชา Dambatenne ก็จะผ่านไร่ชามากมาย ของหลายๆเจ้าของ แต่เมื่อเข้าเขตของ Lipton’s Seat ก็จะมีด่านเก็บค่าธรรมเนียมเข้า คล้ายๆ ด่านเก็บค่าทางด่วน โดยเสียค่าเข้า คนละ 50 RS (ประมาณ 12.50 บาท) ค่ะ หากจะนำรถเข้าไปด้วย ก็คันละ 100 RS (ประมาณ 25 บาท) ซึ่งจากจุดนี้ จะต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1.4 กิโลเมตร ถึงจะถึงจุดยอดของ Lipton’s Seat
3. จะไป เที่ยว Lipton’s Seat ต้องเดินทางไปที่ไหน ยังไง ค่าเสียหายประมาณเท่าไหร่
3.1) เข้าเมืองก่อน
Lipton’s Seat อยู่ห่างจากตัวเมือง Haputale ประมาณ 16 กิโลเมตรค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา เที่ยว Lipton’s Seat ก็จะพักที่ Haputale นี่แหละค่ะ หยกพักที่พักห่างจากตัวเมือง Haputale ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ค่ะ ตอนแรกกะว่าจะเดินเข้าเมือง แต่โชคดีที่รถเมล์ผ่านพอดี เลยรีบโดดขึ้นรถเมล์ เพื่อไปลงที่สถานีรถประจำทางประจำเมือง Haputale ซึ่งก็อยู่ที่ตัวเมืองนั่นแหละ ค่าเสียหาย 12 RS (ประมาณ 3 บาท) แต่ถ้าจะนั่งตุ๊กตุ๊กเข้าเมือง ก็ประมาณ 100 RS (ประมาณ 25 บาท) ค่ะ
3.2) แล้วต่อด้วยรถเมล์
ขึ้นรถเมล์หมายเลข 326 Bundarawela – Haputale – Dambatenna นะคะ โดยไปลงสุดสายเลยค่ะ รถจะจอดที่หน้า โรงงานผลิตชา Dambatenne ค่าเสียหาย 30 RS (ประมาณ 7.5 บาท)

3.3) เดิน หรือ ตุ๊กตุ๊ก
จากนั้นก็มี 2 ตัวเลือก คือ เดินขึ้นไปอีกประมาณ 6 – 7 กิโลเมตร หรือ นั่งตุ๊กตุ๊กไป ค่าเสียหายประมาณ 400 RS (ประมาณ 100 บาท) ค่ะ
3.4) ด่านจ่ายค่าธรรมเนียม
หากโดยสารมากับรถตุ๊กตุ๊ก ก็จะมี 2 ตัวเลือกให้เลือก คือ เดินเข้าไปเองอีกประมาณ 1.4 กิโลเมตร หรือ เข้าไปกับตุ๊กตุ๊ก ซึ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนำรถตุ๊กตุ๊กเข้าอีก 100 RS นะคะ
หยกแนะนำให้เดินเองดีกว่าจะ ด้านบนสวยมาก ไร่ชาเขียวๆ ล้วนๆ อากาศดีสุดๆ เพราะถ้านั่งรถตุ๊กตุ๊กเข้าไป ก็จะถึงจุดชมวิวเลย ไม่ได้เดินสัมผัสผ่านไร่ชาเลยค่ะ ไม่ได้เจอ สาวๆทมิฬ ที่กำลังเก็บใบชาด้วย

4. จุดเด่นของการมา เที่ยว Lipton’s Seat มีอะไรให้ชม หรือ กิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง และควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ร้านอาหารมีไหม ราคาเท่าไหร่
4.1) ร้านขายของเล็กๆ ตรงป้ายรถเมล์ ที่หน้า โรงงานผลิตชา Dambatenne
มีร้านขายของเล็กๆ อยู่ร้านสองร้านค่ะ สามารถซื้อน้ำดื่ม ขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ได้ค่ะ เพราะระหว่างทางขึ้นไป Lipton’s Seat และด้านบน Lipton’s Seat ไม่มีร้านขายของนะคะ
4.2) จุดเด่นของ Lipton’s seat
การมาเที่ยวไร่ชา Lipton’s Seat ควรจะมาเช้าๆ ค่ะ เป็นไปได้ เค้าว่าควรจะมาชมพระอาทิตย์ขึ้น และไม่ควรมาสายกว่า 10.00 น. นะคะ เพราะทัศนียภาพของการมองเห็นจะเบลอด้วยคุณหมอกที่ลอยไป ลอยมา หมอก หมอก และก็หมอกที่หนา และแน่นมาก แต่ความสวยงามจึงอยู่ที่ตรงนี้ แต่ถ้ามาเช้าๆหน่อย คุณก็จะได้เห็นวิวทั้งสองแบบค่ะ โดยที่บรรยากาศบน Lipton’s Seat นั้น เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาทีเลยค่ะ

การที่ไร่ชาขนาดใหญ่สีเขียวอ่อนๆ เข้มๆ ใบชาเงาๆ ตัดกับท้องฟ้าใสๆ สีน้ำเงินเข้ม แล้วมีเมฆหมอก ลอยไป ลอยมา ซึ่งหากใครมาทันพระอาทิตย์ขึ้นด้วยแล้วละก็ เค้าว่ากันว่า แสงที่ได้ก็จะยิ่งสวยมากขึ้น หมอกสีขาวก็จะกลายเป็นหมอกสีส้มๆ อมแดง กระทบมาที่ความเงาของใบชา สะท้อนกลับให้สีสันที่แปลกตาออกไป
4.3) ร้านอาหารตรงจุดยอด หรือ จุดชมวิว
นี่คือเหตุผลหลักที่ควรจะถึงจุดชมวิวก่อน 10 โมงเช้า เพื่อที่จะได้มองเห็นวิวยังไงล่ะคะ หยกมัวแต่ลั้นล้ากับไร่ชา กว่าจะถึง ก็เกือบ 11 โมงแล้ว วิวที่เห็นเลยขาวอย่างเดียว 55+ รอลุ้นให้ลมพัดหมอกไป ให้เห็นวิวบ้างอะไรบ้าง แต่ก็นะ มีลมค่ะ พัดหมอกเก่าไป แต่ก็พาลพัดหมอกใหม่มา เลยอดชมวิวตรงจุดนี้เลยค่ะ

โดยร้านอาหารที่นี่ ใครๆ มาก็ต้องสั่งชา ไม่ว่าจะเป็น ชาดำ หรือ ชานม ซึ่งเค้าจะเสริ์ฟกับน้ำตาลโตนดก้อนเล็กๆ อร่อย และ หอมมากๆ ไว้ให้กินคำเล็กๆ แกล้มกับการจิบชา มันเข้ากันดี๊ดี หยกดื่มชานมไป 2 แก้วเลยค่ะ จริงๆ ก็อยากจะสั่งอีกซักแก้ว แต่ก็กลัวจะเยอะไป เพราะชาที่นี่รสชาติค่อนข้างเข้มค่ะ ซึ่งที่นี่ยังมีอาหารขายอยู่อีกหลายอย่าง แต่หยกได้ทานแค่ samosa ค่ะ อร่อยมากๆๆ ทานไปตั้ง 4 ชิ้นแน่ะ 55+ อิ่ม จุก จนสั่งอย่างอื่นทานไม่ได้เลย
ชาดำ ชานม ราคาประมาณ แก้วละ 30 – 40 RS ค่ะ หยกจำราคาแน่นอนไม่ได้ ส่วน samosa ชิ้นละ 40 RS (ประมาณ 10 บาท) ค่ะ ราคาอาหารที่นี่เท่ากับร้านอาหารพื้นเมืองในเมืองนะคะ ไม่ได้คิดแพงๆ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแต่อย่างใด ชอบก็ตรงนี้ค่ะ แถมอากาศดี และ บริสุทธิ์มากๆ ด้วย
4.4) ความฟินอยู่ตรงนี้ เดินชม ลัดเลาะไปตามไร่ชา
มาไร่ชา ก็ต้องเดินใกล้ชิด สัมผัสยอดอ่อนใบชา กอดต้นสักนิด ถึงจะได้รสของการสัมผัสไร่ชาอย่างแท้จริง ไม่งั้นก็ถือว่ามาไม่ถึงไร่ชานะคะ โดยไร่ชาจะปลูกเป็นขั้นๆ มีช่องว่างให้เดินได้ ปลูกไล่ไปตามเนินเขา สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งทางเดินเหล่านี้ จะมีไว้สำหรับผู้ดูแลต้นชา และคนเก็บยอดอ่อนใบชา เพื่อที่จะได้เข้าถึงทุกต้น ทุกยอด จึงเหมาะมาก หากเรานักท่องเที่ยวจะเดินตามทางเหล่านี้ ตามรอยสาวชาวทมิฬเก็บใบชา จริงๆ แล้วทางเดินแบบนี้ สนุกกว่าทางเดินตามถนนมากเลยนะคะ เดินง่ายกว่าด้วย แถมมีอะไรให้ดู ให้ชมอย่างใกล้ชิดๆ ตลอดทางเลยด้วย

การเดินลัดไปตามไร่ชานั้น เป็นการเดินลัดจริงๆ ระยะทางจะสั้นกว่าการเดินวนไปตามถนนนะคะ
4.5) อากาศสะอาด บริสุทธิ์
เค้าว่ากันว่า ต้นชา จะเจริญเติบโตได้ดี สวยงาม และรสชาติดี จะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติที่สด อากาศที่นี่ จึงสะอาด สดชื่น และบริสุทธิ์มากๆ ค่ะ รู้สึกได้ถึงความโล่งจมูก และความสบายปอด ใบชาทุกใบนี่คือเงา ใสสะอาด ยังกับมีคนมาทำความสะอาดแบบใบต่อใบ ไม่มีฝุ่นใดๆ เลยค่ะ

4.6) ยังกับมาเที่ยว ไร่ชา Lipton’s Seat แบบส่วนตัว
นักท่องเที่ยวที่มา เที่ยว Lipton’s Seat ยังน้อยอยู่ วิวไร่ชาที่เห็นจึงมีแต่ไร่ชาสีเขียวๆ ใบเงาๆ ใสๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวติดหลุดเข้าไปในรูปภาพเลยสักใบเดียวค่ะ อากาศก็ดี เย็นสบาย เลยเพลินมาก หยกใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันเลยค่ะ รวมเวลาเข้าชมกรรมวิธีผลิตชาที่ โรงงานผลิตชา Dambatenne ด้วย

4.7) โรงงานผลิตชา Dambatenne
มาชมไร่ชาแล้ว ก็คงอยากจะทราบกรรมวิธีการผลิตชาสินะคะ โรงงานผลิตชา Dambatenne (ที่รถเมล์สาย 326 จอดนั่นแหละค่ะ) เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม พร้อมทั้งมีคนอธิบายแต่ละขั้นตอนให้ฟัง ราคาค่าเสียหาย คนละ 250 RM (ประมาณ 62.50 บาท) ซึ่งเห็นกระบวนการผลิต แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ ค่ะ ข้อเสียคือ บางรอบก็ได้ชิมชา บางรอบ(รอบหยกเอง)ก็ไม่ได้ชิมชา ไม่แน่ใจว่ากฎเกณฑ์การได้ชิมชาคืออะไรนะคะ และที่โรงงานนี้ ก็ไม่มีชาขายค่ะ เค้าจัดทำส่งขายล๊อตใหญ่ทีเดียว ใครที่คิดว่าจะได้ซื้อชาถูกๆที่โรงงาน นี่ฝันสลายเลยนะคะ
4.8) ใช้เวลานานแค่ไหน บน Lipton’s Seat และ โรงงานผลิตชา Dambatenne
หยกนั่งรถเมล์ออกจากตัวเมือง Haputale ประมาณ 8 โมงค่ะ ถึงปลายทางที่หน้า โรงงานผลิตชา Dambatenne ประมาณ 9 โมงค่ะ ต่อตุ๊กตุ๊กอีกประมาณ 25 – 30 นาที ใช้เวลาใน ไร่ชา Lipton’s Seat ชมวิว และเดินไปเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหารตรงจุดชมวิว ประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ โดยถึงประมาณเกือบๆ 11 โมงค่ะ นั่งชิว จิบชาที่นี่เพลินๆ เดินเล่นด้านบนชิวๆ อีกประมาณ 45 นาที เดินลงทางเดิมไปจนถึงจุดขายตั๋ว (จุดที่ลงจากตุ๊กตุ๊ก) ขาลงก็ยังคงใช้เวลานานอยู่ดี ก็วิวมันเพลินค่ะ ซึ่งก็ถึงเกือบจะบ่ายโมงแล้ว

ยังค่ะยังไม่ถึง เพราะต้องเดินลงอีกประมาณ 6 – 7 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลา เดินลงชิวๆ เพลินๆ กับธรรมชาติรอบตัว ดูสาวชาวทมิฬเก็บใบชา ก็ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงค่ะ และก็เข้าชมกรรมวิธีผลิตชาที่ โรงงานผลิตชา Dambatenne ประมาณ 20 – 30 นาที และก็รอรถเมล์ลงไปยังตัวเมือง Haputale ซึ่งได้ขึ้นรถรอบ 4 โมงเย็น ถึงด้านล่างก็ 5 โมง พอดีเวลาอาหารเย็นเลยค่ะ จึงแวะทานอาหารในเมือง ก่อนจะกลับเข้าที่พัก
5. เที่ยว Lipton’s Seat เดินยากหรือเปล่าเนี่ย หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร ระยะทางไกลแค่ไหน เดินนานขนาดไหน
หลังจากลงรถเมล์แล้ว ถ้าใครจะเดินขึ้นก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง แล้วแต่สปีด และก็แล้วแต่ช่วงเวลาการหยุดชมวิวของแต่ละคนนะคะ ส่วนทางเดินก็เป็นทางถนนเรียบๆ นี่แหละค่ะ เดินไม่ยากค่ะ เดินวนไปเรื่อยๆ รอบๆก็เป็นไร่ชาเขียวๆ นี่แหละค่ะ หรือใครจะเดินลัดเลาะไปตามไร่ชา ก็จะสนุกกว่า ระยะทางสั้นกว่า วิวดีกว่าค่ะ (แต่อาจจะหยุดชื่นชมต้นชาเหล่านี้ นานกว่าก็เป็นได้ 55+)

แต่หากใครจะนั่งตุ๊กตุ๊ก ก็ใช้เวลาประมาณ 20 – 40 นาที ค่ะเช่นกันค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าหยุดชมวิวนานไหม
6. ควรเริ่มเดินขึ้น เที่ยว Lipton’s Seat กี่โมงดีน้าา ช่วงไหนถ่ายรูปสวย หมอกไม่จัด และคนไม่เยอะ
6.1) ไปเช้า ขึ้นให้ถึง Lipton’s Seat ก่อน 9 โมง 10 โมง (อย่าลืมบวกลบเวลาออกจากตัวเมือง Haputale อย่างน้อย 2 ชั่วโมงนะคะ)
ไร่ชาที่ Lipton’s Seat นี่แปลก ตรงที่หมอกจะมาช่วงสายๆ ประมาณ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป แล้วเป็นหมอกแบบประชิดตัว ทำให้บางครั้งทัศนียภาพที่คุณจะเห็นได้แค่ในระยะ 1 เมตรเท่านั้น แต่วิวทั้งในตอนเช้า และยามที่มีหมอกนั้น สวยไปคนละแบบค่ะ


6.2) ช่วงที่ถ่ายรูปสวย
ก็ตอนเช้าๆนี่แหละค่ะ ช่วงที่ฟ้ายังฟ้า หมอกยังไม่มา เพราะแสงจะกระทบกับใบชาเงาๆ สวยมาก หากต้นชายังไม่ถูกเก็บยอดอ่อนไป ก็จะเห็นสีใบชาเป็นสีเขียวอ่อนนีออน สวยแสบตาเลยค่ะ นอกจากนั้น พอสายๆหน่อย วิวที่เห็นก็จะต่างออกไป ได้ใกล้ชิดหมอกแบบเต็มๆ ลมก็พัดอยู่เรื่อยๆ บรรยากาศ และวิวที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วในหน่วยวินาทีเลยค่ะ สร้างความตื่นเต้นมากๆ ภาพที่ได้ก็หลากหลายอารมณ์สุดๆ

7. ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินขึ้น เที่ยว Lipton’s Seat จะทำอย่างไรละเนี่ย
นี่แหละคือปัญหาหลัก ของนักท่องเที่ยว หาห้องน้ำไม่ได้ ที่ Lipton’s Seat ไม่มีห้องน้ำ ที่ร้านอาหารก็ไม่มี หรือ หยกหาไม่เจอก็ไม่รู้ค่ะ หยกเลยอาศัยประโยชน์ของการที่นักท่องเที่ยวน้อย ให้ปุ๋ยต้นชาไปในตัว แฮ่ๆ ขอโทษ.. แต่ก็แอบตื่นเต้นดี
8. เรื่องเล่าระหว่างการ เที่ยว Lipton’s Seat สนุกแค่ไหน มันส์ยังไง อะไรที่ประทับใจ
อากาศหนาว คู่กับ การตื่นสาย สายแล้ว สายไปอีก
ขนาดเที่ยวกับทัวร์ ยังชอบสาย ชอบผิดเวลานัดกันเลยเนอะ ประสาอะไรกับการวางแผนเที่ยวเอง ยิ่งอากาศหนาวๆ ด้วยแล้ว มันยากมากๆที่จะลากตัวเองขึ้นจากเตียง ต่อสู้กับตัวเองอยู่นานเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว จนในที่สุด สายเลย! ยังๆ ยังไม่เจียม ยังคิดอยากที่จะเดินจากที่พัก เข้าเมืองเพื่อไปขึ้นรถเมล์ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรนิดๆ แต่พอเริ่มเดินได้สักพัก ก็มีรถเมล์ผ่านมา ด้วยสัญชาตญาณ รีบโบกทันทีค่ะ เลยโชคดีที่ไม่สายไปมากกว่านี้ แต่ๆ เมื่อไปถึงสถานีรถทัวร์ รถเมล์สาย 326 ก็พึ่งจะขยับตัวออกไป เลยต้องรออีก 20 นาทีค่ะ (ทั้งๆ ที่พี่คนขับบอก อีก 5 นาทีออก) สายอยู่ดีสินะ 55+
รถเมล์
แต่ข้อดีของการได้ขึ้นรถเมล์เป็นคนแรก และรถยังไม่ออก ก็คือ ได้นั่งอ่ะนะ ยิ่งดีไปใหญ่คือ ป้ายที่จะลงนั้นคือสุดสายเลยไง งานนี้สายก็ยอมค่ะ อากาศสบายๆ ชิวๆ วิวที่ป้ายรถเมล์ก็ดี ก็ฟิน งานนี้ใครที่กลัวจะเมารถ ก็เตรียมยาดม ยาอม ยาหม่อง บ๊วยเค็มมาเผื่อด้วยนะคะ ทางโค้งขึ้นเขาเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้โค้งมากมาย โดยรวมน่าจะโอเคกันทุกคน แต่ก็มีเผื่อไว้ จะได้สบายใจเนอะ ซึ่งวิวระหว่างทางก็สวยมาก รถเมล์ก็ open-air อากาศก็ดี๊ดี เย็นๆ จนต้องปิดหน้าต่าง แต่ก็แอบเปิดแง้มไว้นิดนึง ให้พอมีอากาศถ่ายเท เพลินสุดๆค่ะ
พี่ค่ะ จอดหน่อยๆ แต่ถ้าการจอดของพี่ คือ เร่งเครื่อง แล้วขยับทุกๆ 1 เซน พี่ก็อย่าจอดให้หนูเลยค่ะ เพราะรูปที่ได้คือเบลอทุกรูป

มารู้ตัวอีกทีคือสายแล้วจริงๆ ณ เวลานี้ ลงรถเมล์ก็เกือบ 9 โมงแล้ว ครั้นจะเดินขึ้นคงไม่มีวิวด้านบนงามๆ ให้เห็นเป็นแน่ จึงใช้บริการพี่ตุ๊กตุ๊ก ที่มีอยู่หลายคัน ระหว่างทางคือวิวสวยมาก เห็นไร่ชาแบบไกลๆ เรียงรายกันสุดลูกหูลูกตา จึงขอให้พี่แกจอด เพื่อถ่ายรูปค่ะ ครั้งแรกแกก็จอดให้จริงๆ พอครั้งที่สองแค่นั้นแหละ แกจอด แต่เร่งเครื่อง รถมันก็ไม่หยุดนิ่งน่ะสิคะ ก็เดาเองว่า อ่อจอดบนเนินหรือเปล่า เลยต้องเร่งเครื่องไง ไม่งั้นรถจะไหล แต่วิวระหว่างทางมันสวยมากจริงๆ จนอดใจไม่ไหว ขอให้พี่แกจอดอีก แต่ไอ้จุดที่เราอยากได้ แกไม่จอดไง แกขับเลยต่อไปอีกประมาณ 10 – 20 เมตร แล้วค่อยจอด แบบเร่งเครื่องด้วย คืออะไร เลยคิดบวกต่อ อ่อ สงสัยแกกลัวว่าจะขึ้นไปถึงสาย แล้วไม่เห็นวิวสวยๆ ด้านบนมั้ง จากนั้นจึงไม่มีการขอให้จอดครั้งที่ 4 ขอเก็บบรรยากาศผ่านความทรงจำเอาแล้วกัน
ความฟินอยู่ตรงนี้ กอดชา ว่าแต่ นี่คือไร่ชาหรือเขาวงกต

หลังจากอดกลั้นมานานตั้งแต่บนรถเมล์ละ ก็ผลจากการดื่มน้ำเยอะในตอนเช้าน่ะสิคะ เมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเข้า Lipton’s Seat เสร็จ จุดหมายแรกที่มองหา คือ ห้องน้ำ แต่เมื่อไม่เป็นผล และอดทนต่อไปไม่ไหว จึงเดินเข้าไปตามไร่ชา ไม่เดินบนถนนโล่งๆ แล้ว และเมื่อคิดว่าถึงฐานทัพที่ปลอดภัย การให้ปุ๋ยต้นชาจึงเริ่มขึ้น และนี่เป็นผลพวงให้หยกเริ่มเดินลัดเลาะไปตามไร่ชาวงกตแห่งนี้ ซึ่งทั้งทางเดิน และวิวนั้น ดูดี เดินง่าย เพลิน และสนุกกว่าการเดินตามถนนโล่งๆ เสียอีก
ท้องฟ้าสีฟ้า หมอกจางๆสีควันๆ ภายในเสี้ยววินาที ก็กลายเป็นหมอกแน่นๆสีขาวๆ

หากยืนอยู่เฉยๆ อากาศค่อนข้างหนาวค่ะ แต่เมื่อเริ่มเดิน อากาศนั้นสบายมาก สดชื่นสุดๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่า เดินเล่นในไร่ชาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เห็นจะได้ ทั้งๆ ที่ ความรู้สึกเหมือนอยู่แค่ 20 นาทีเอง จากที่ฟ้าใส ฟ๊าฟ้า หมอกจางๆ เริ่มเข้ามา ลอยมาแล้วลอยไป แล้วหมอกก็เริ่มหนาขึ้น แน่นขึ้น ลอยมาแล้วบางส่วนก็ลอยไป ส่วนที่อยู่ก็อยู่ทับด้วยหมอกใหม่ที่ถูกพัดเข้ามา หนาขึ้นอีก แน่นไปอีก จนกลายเป็นสีขาวจั๊ว บดบังท้องฟ้าสีฟ้าๆ ไปเลย แต่สักพัก หมอกทั้งหลายก็ถูกพัดลอยไป แล้วฟ้าก็กลับมาเป็นสีฟ้าใหม่ แต่หลังจากนี้ไม่ถึง 5 นาที หมอกหนาๆ ก็เริ่มกลับมา แล้วก็หนาแน่นอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นท้องฟ้าสีฟ้าแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยกลายเป็นว่า ถึงเวลาต้องเดินขึ้น ต้องเดินไปต่อ กว่าจะลัดเลาะขึ้นไปถึงจุดชมวิว ตรงร้านอาหารได้ บรรยากาศที่เห็นอยู่รอบตัวก็ขาวจั๊วไปหมดเลยค่ะ จนมองไม่เห็นวิวใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะบอกว่ามันก็สวย ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะคะ

นั่งจิบชา แกล้มน้ำตาลโตนดก้อน ชมป่าหมอก และรอลุ้นชมวิว
เมื่อถึงร้านอาหารตรงจุดชมวิวด้านบน Lipton’s Seat ก็แน่นอนค่ะ มาถึงไร่ชา ก็ต้องสั่งชา หยกเลยสั่งชานมไป แต่ตอนมาเสริ์ฟนั้น เค้าเสริ์ฟชา พร้อมกับน้ำตาลโตนด (Jaggery) ก้อนเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มๆ เทคนิคคือ จิบชาไป แล้วก็กัดน้ำตาลก้อนๆ นี้ไป คือแค่ชาก็หอม อร่อย เข้มข้นมากแล้ว สมแล้วที่มาดื่มชาถึงไร่ชาค่ะ ส่วนน้ำตาลโตนดนี้ ก็หอมมาก รสชาติเข้มข้นมาก อร่อยมากเช่นกัน เค้าให้มาตั้งเยอะ ไม่อยากจะบอกเลย ว่าหยกกินเกลี้ยงเลยค่ะ

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
ส่วนวิวที่เห็นนั้น คือไม่เห็นอะไร นอกจากหมอก 55+ ก็นั่งลุ้น นั่งตื่นเต้นเหมือนกันนะคะ ว่าวิวเบื้องหน้าจะเห็นเป็นแบบไหน ลมน่ะก็พัดหมอกหนาๆ ให้ผ่านไป แต่หมอกมันหนามาก แบบที่เห็นว่าลมพัดให้หมอกลอยไป แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยหมอกหนาๆ ที่พัดเข้ามาใหม่ อยู่ตลอดเวลา ขนาดที่ว่าลมพัดอยู่ตลอดเวลา แต่หมอกก็ไม่เคยจางเลยค่ะ
อย่าคิดว่าขาลง จะเร็ว
ถึงแม้จะเดินลงทางเดิม (ที่ไม่ใช่ทางถนน) วิวที่เห็นที่ควรจะเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกดันแตกต่างออกไป จนไม่สามารถที่จะเดินเลย และผ่านไปเฉยๆ ได้เลยค่ะ ต้องหยุดชม หยุดถ่ายภาพอยู่ตลอดเวลา อย่างกับไม่เคยผ่านมาตรงนี้เลย ซึ่งยังคงใช้เวลาในการผ่านบริเวณนี้เกือบชั่วโมงอยู่ดี 55+ ทั้งๆ ที่เหมือนกับว่าตัวเองใช้เวลาแค่ 10 นาทีเอง
ในที่สุดก็เจอ tea picker

เมื่อผ่านพ้นเขต Lipton’s Seat เดินต่อมาสักนิด ก็เจอห้องเก็บรวบรวมยอดอ่อนใบชา และชั่งน้ำหนัก เพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตชาค่ะ ซึ่งสาวๆ ชาวทมิฬกำลังทำงานกันอย่างขะมักขะเม้น ทุกคนดูเหน็ดเหนื่อย แต่อารมณ์ดี ดูยิ้มแย้มกันทุกคน หยกเลยดูเค้าทำงานเพลินๆ เค้าก็ทำไป เขินไปค่ะ จนเสร็จ ก็เลยบ่ายโมงมานิดๆ เราก็ได้แต่ยิ้มให้กัน ใช้ภาษามือคุยกัน ทุกคนดูเร่งรีบ แต่ก็ดูอยากคุยกับหยกต่อนะ ขอถ่ายรูปกันเสร็จสับ โชว์รูปให้ดูเรียบร้อย สาวๆ เหล่านั้น ก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับเก็บอุปกรณ์เก็บใบชา โบกมือลาบ๊ายบายกันใหญ่ แล้วก็รีบเดินจ้ำไปอย่างรวดเร็ว หยกก็เดินตามค่ะ แต่เดินไม่ทัน เค้าเดินกันเร็วมากๆ เลยเดาเองว่าน่าจะเป็นเวลาพักเที่ยงของเค้า คงรีบกลับบ้านไปหาครอบครัว ทานอาหาร แล้วกลับมาทำงานต่อ ก่อนที่สาวๆ เหล่านั้น จะหายไปในดงชา ก็ได้หันมาโบกมืออีกครั้ง

ขอลองเป็นสาวเก็บชา แค่ 3 วิก็พอ หนัก และทรงตัวยากเหมือนกันแหะ
ระหว่างทางเดินลง ช่วงแรกหยกเดินลงตามถนนค่ะ ก็เดินไปเรื่อยๆ วิวสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลย แต่สักพักก็เจอนักท่องเที่ยว เดินลัดเลาะไปตามไร่ชาค่ะ หยกจึงเอาบ้าง จะหาทางกลับถูกไหม ก็น่าจะนะคะ เพราะถนนก็ลงยาวไปเส้นเดียวจนถึง โรงงานผลิตชา Dambatenne ตรงที่รถเมล์จอด แถมทางลงตามไร่ชาเดินได้เร็ว สนุกกว่าด้วย และในที่สุดก็ได้เห็นคนกำลังเก็บใบชาค่ะ เห็นแบบใกล้ชิดเลย และจากนั้นก็เห็นคนเก็บใบชาตลอดทางเลยค่ะ ดีใจมากๆ

และแล้วก็เจอเหยื่อ ที่เหมือนกำลังจะเดินเอาใบชาที่เก็บได้ไปจุดชั่งน้ำหนัก จึงขอลองแบกชาที่เก็บได้ดูค่ะ น่าประหลาดใจมาก ที่มันเป็นแค่หมวก แล้วเชื่อมต่อไปเป็นถุงใส่ชาขนาดใหญ่แนบไปกับแผ่นหลัง คือมันค่อนข้างหนักมากเลยทีเดียว ดูไม่ถนัด แล้วต้องอาศัยการทรงตัวดีๆ ไม่น่าแปลกใจเลย ที่สาวๆ เหล่านี้ ดูบุคลิกภาพดีกันทุกคน

9. สิ่งที่ต้องเตรียม ข้อควรรู้ ข้อควรระวัง และ ข้อไม่ควรปฏิบัติ ในการ เที่ยว Lipton’s Seat
9.1) ไปเช้าๆ
คำนวณเวลาไปล่วงหน้า อย่างน้อยสัก 2 ชั่วโมง นะคะ ซึ่งจริงๆ แล้ว ควรออกจากตัวเมือง Haputale ไม่เกิน 7 โมงเช้าค่ะ หากกลัวขึ้นไปชมวิวด้านบนไม่ทัน ก็แนะนำให้นั่งตุ๊กตุ๊กขึ้นไปเลยค่ะ แล้วขาลงค่อยเดินลงเอา อีกอย่างขาลงเดินง่าย และเร็วกว่าขาขึ้นอยู่แล้ว
9.2) เดินลัดเลาะไปตามไร่ชา ดีกว่าเดินวนตามถนน
เดินในไร่ชา เดินง่ายกว่าเดินวนๆ ตามถนนนะคะ ส่วนวิวก็สวยกว่า ระยะทางเดินก็สั้นกว่า แถมได้ใกล้ชิดไร่ชามากกว่าด้วยค่ะ

9.3) ตรวจสอบสภาพอากาศ
ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนไปอีกทีนะคะ อากาศจะหนาวขนาดไหน จะได้แต่งตัวถูกค่ะ
9.4) รองเท้าผ้าใบ
ถึงแม้ทางเดินจะไม่ได้ยากอะไรเลย แต่การใส่รองเท้าผ้าใบก็ทะมัดทะแมง เดินง่าย และสะดวกกว่าค่ะ
9.5) น้ำดื่ม และเสบียง
อย่าลืมซื้อน้ำดื่มพกไว้ให้เพียงพอนะคะ เพราะที่ระหว่างทางขึ้นไป Lipton’s Seat และด้านบน Lipton’s Seat นั้น มีร้านขายของค่ะ จนกว่าจะถึงร้านอาหารด้านบน Lipton’s Seat
9.6) อย่าเด็ดใบชา และทิ้งขยะเรี่ยราด

คงไม่ต้องมีเหตุผลสนับสนุนสองข้อนี้นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พร้อมไปเก็บยอดชาใบชา สีเขียวนีออน ในไร่ชา Lipton’s Seat ในศรีลังกา กันหรือยังคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่จะเดินทางไปเที่ยวศรีลังกา และอยากไปเที่ยวไร่ชาแบบส่วนตั๊วส่วนตัวนะคะ หากมีคำถาม ข้อสงสัย คำแนะนำ ติ หรือ ชม หรือแชร์ประสบการณ์ ก็คอมเม้นต์มาได้ที่ด้านล่างนี้เลยค่ะ ยินดีรับฟัง และ ตอบทุกคอมเม้นต์เลย ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
จาก columbo ไกลไหมครับ
น่าสนใจมากๆเลย
ธรรมชาติ ชา อากาศยามเช้า
นี่แหละชีวิต
แนะนำทีครับ
สวัสดีค่ะ คุณ Double AA ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ตอนหยกไปเที่ยว Lipton’s Seat หยกพักที่เมือง Haputale ค่ะ ซึ่งจาก Haputale ไป Lipton’s Seat อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นกับว่าไปรถเมล์แล้วต่อตุ๊กตุ๊ก หรือ รถเมล์แล้วต่อด้วยเดินเท้า ค่ะ ส่วนจาก Colombo ไป Haputale ได้ด้วยรถทัวร์ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง หรือถ้ามีเวลาหน่อย ก็สามารถนั่งรถไฟได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าคือประมาณ 6 ชั่วโมงนิดๆค่ะ หากมีเวลาแนะนำให้ไปเที่ยว ไร่ชา Lipton’s Seat นะคะ แล้วคุณ Double AA จะหลงรักไร่ชาแห่งนี้แบบไม่รู้ตัวเลยค่ะ