
ข้อมูลบิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา และ ขั้นตอนการฉีดวัคซีน ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นข้อมูลที่หยกมาจากประสบการณ์ตรงของหยก ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2564 กับสายการบิน Japan Airlines ด้วยงบตัวเอง (No Sponsor No การว่าจ้างใดๆ) ตลอดทั้งทริปนะคะ และยังอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้จาก CDC ณ ช่วงที่หยกเดินทาง (เรื่องระเบียบการ & คำแนะนำสำหรับการเดินทางเข้า USA จากต่างประเทศ) อีกด้วยค่ะ
บทความนี้มีความประสงค์ที่จะแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ของการเดินทางช่วงโรคระบาดมายังอเมริกา ไม่ได้มีเจตนาในการแนะนำ หรือ สนับสนุน ให้เดินทางมาอเมริกาในช่วงโรคระบาดนะคะ ทั้งวัคซีนที่เป็นของใหม่ ไหนจะความเสี่ยงติดเชื้อระหว่างการเดินทางอีก ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายของการเดินทางในช่วงโรคระบาดที่สามารถบานปรายได้ หรือแม้กระทั่ง(เมื่อถึงเวลากลับไทย)จะกลับเข้าไทยได้ไหม เป็นต้น จึงมีความเสี่ยงและมีสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้หลายด้านมากๆ ค่ะ โปรดพิจารณา ประเมินสถานการณ์ตัวเอง และ คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ หากวางแผนหรือคิดที่จะเดินทางมาอเมริกานะคะ
แค่ มีวีซ่าอเมริกา + มีผลโควิดเป็นลบ + ถึงแม้จะยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็สามารถเดินทาง ไปอเมริกา จากประเทศไทย ได้ค่ะ
ที่สำคัญคือ ค่าฉีดวัคซีนไม่เสีย + ไม่มีค่ากักตัว (รายละเอียด ขั้นตอนการฉีดวัคซีน อยู่ที่ข้อ 6) นะคะ
เพื่อนๆ สามารถเลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ (คลิกได้) ต่อไปนี้ได้เลยค่ะ
- 1. เอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทางไปอเมริกา? RT-PCR? fit to fly คืออะไร? แล้ว Medical Cerificate ล่ะ? ตรวจที่ไหน? ค่าตรวจ?
- 1.1 หนังสือเดินทาง
- 1.2 วีซ่าอเมริกา
- 1.3 ใบรายงานผลการตรวจ Covid-19
- 1.3.1 72 ชั่วโมงนี่คือนับจากตอนไหน? และ แสดงให้เจ้าหน้าที่ดูตอนไหนบ้าง?
- 1.3.2 ต้องใช้ใบรายงานผลตัวจริงไหม?
- 1.3.3 ตรวจ Covid ด้วยวิธี RT-PCR ได้ที่ไหน?
- 1.3.4 จะมั่นใจได้ยังไงว่าผลแลบที่ได้ จะไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง?
- 1.3.5 ไม่ต้องใช้ ใบ Fit to Fly และ Medical Certificate
- 1.3.6 ค่าตรวจ Covid เท่าไหร่?
- 1.4 แล้วถ้าติด Covid ล่ะ? เดินทางได้ไหม?
- 1.5 เอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม ในการบิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา ครั้งนี้ ที่แตกต่างจากการเดินทางทั่วๆ ไป หากมี ทางสายการบินจะเตรียมให้ค่ะ เช่น
- 1.6 เอกสารอื่นๆ หากมีไว้ก็สบายใจค่ะ ตม. ที่อเมริกา อาจขอดู หรือ ไม่ก็ได้ค่ะ เช่น
- 1.7 โทรถามข้อมูลกับสายการบิน เพื่อยืนยันเอกสารที่ต้องใช้ ณ วันนั้นๆ
- 2. บิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา กับ ตั๋วที่ว่า 1,645 บาท นี้ได้มายังไง? หลอกกันเล่นเปล่า? ค่าใช้จ่าย? อยากประหยัดต้องทำยังไง?
- 3. บนเครื่องบินมีบริการอาหาร? เครื่องดื่ม? กินอะไร? ยังไง?
- 4. มีคนโดนส่งกลับจริงไหม? ตม. ที่อเมริกา ถามอะไรหยกบ้าง?
- 5. เดินทางเข้าอเมริกา ต้องกักตัวไหม? ยังไง? ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย?
- 6. ขั้นตอนการฉีดวัคซีน ที่อเมริกา ไม่เสียค่าใช้จ่ายจริงไหม? หาที่ฉีดยากหรือเปล่า? ฉีดที่ไหนได้บ้าง? ใช้เอกสารอะไร? ดำเนินการยังไง? walk-in ได้ไหม? หรือต้องจองเท่านั้น?
เมื่อเพื่อนๆ อ่านจบแล้ว และ มีคำถามเพิ่มเติม มีข้อสงสัย ตรงไหนไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุม อยากให้อธิบายตรงไหนเพิ่มเติม หรือ แค่อยากพูดคุยทักทาย ก็คอมเม้นต์มาที่ช่องคอมเม้นต์ที่ด้านล่างได้เลยนะคะ หยกจะยินดีมากๆ และจะรีบเข้ามาตอบทันทีค่ะ

โปรดอ่าน สำคัญมาก โปรดระลึกอยู่เสมอว่า เรายังอยู่ในสถานการณ์ของโรคระบาดอยู่นะคะ
- การเดินทางในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และ ต้องหาข้อมูลสำหรับการเดินทางที่เป็นปัจจุบันและจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้นนะคะ ทั้งกฎและระเบียบเรื่องการเดินทางของแต่ละสายการบิน แต่ละประเทศ (ทั้งในไทยและอเมริกา) และ แต่ละรัฐ นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพื่อนๆ จึงควรทำการตรวจสอบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันกับสายการบินที่เพื่อนๆ จะเดินทาง และ ระเบียบการของรัฐที่เพื่อนๆ จะเดินทางไป อยู่ตลอด ก่อนการเดินทาง เพื่อได้ข้อมูลที่อัพเดท เพื่อการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ และ ให้มีการเดินทางที่ราบรื่นที่สุดนะคะ
- วางแผนให้ดี ดูข่าวอยู่ตลอด จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลในการบินกลับประเทศไทยจากต่างประเทศด้วยนะคะ ในเรื่องของค่าใช้จ่าย และ กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินการกลับไทยค่ะ (หยกยังไม่มีข้อมูลด้านนี้นะคะ)
- เตรียมตัวเตรียมพร้อมรับมือและยอมรับ หากมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น หรือ ไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ อยู่เสมอ
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาข้อมูลต่างๆ เพื่อการเตรียมตัวและเตรียมเอกสาร เพื่อเดินทาง ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา สามารถดูศึกษาข้อมูลจากการเตรียมตัวและประสบการณ์ของหยก ที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

1. เอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทางไปอเมริกา? RT-PCR? fit to fly คืออะไร? แล้ว Medical Cerificate ล่ะ? ตรวจที่ไหน? ค่าตรวจ?
การบินไปอเมริกาในช่วงโรคระบาดนี้ หรือ บิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา มีการเตรียมเอกสาร ก่อนการเดินทางที่ไม่เหมือนเดิมค่ะ ซึ่งเอกสารที่หยกจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นเอกสารที่ต้องใช้แสดง ขณะทำการเช็คอิน ที่สนามบินสุวรรณภูมินะคะ
1.1 หนังสือเดินทาง
หนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันที่เดินทาง ตอนนี้เพื่อนๆ สามารถทำหนังสือเดินทางที่มีอายุ 10 ปีได้แล้วนะคะ
1.2 วีซ่าอเมริกา
วีซ่าอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ หยกมีวีซ่าอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุในหนังสือเดินทางเล่มเก่าค่ะ ก็พกหนังสือเดินทางไปทั้งเล่มเก่าและเล่มใหม่ค่ะ
1.3 ใบรายงานผลการตรวจ Covid-19
ด้วยวิธี RT-PCR จากการ swab จมูก ที่แสดงผลการตรวจเป็น “ลบ” ที่มักจะระบุว่า “Negative” หรือ “Not Detected” ภายใน 72 ชั่วโมง ก่อนเวลาบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิค่ะ
1.3.1 72 ชั่วโมงนี่คือนับจากตอนไหน? และ แสดงให้เจ้าหน้าที่ดูตอนไหนบ้าง?
72 ชั่วโมง นับจาก เวลาเครื่องบินออกเดินทางจากประเทศไทยค่ะ หรือ ตามเวลาเที่ยวบินออกจากไทยนั่นเอง โดยที่จะแสดงให้เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินนั้นๆ ดู ก่อนทำการเช็คอินค่ะ (หากไม่มี หรือ เกินกว่า 72 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะไม่เช็คอินให้ค่ะ = เดินทางไม่ได้)
กรณี มีต่อเครื่องที่ประเทศอื่นๆ และ เมื่อถึงที่อเมริกา แล้วนั้น เจ้าหน้าที่สามารถขอดูผลตรวจโควิดได้ค่ะ (อาจจะไม่ขอดูก็ได้) ตอนที่หยกรอต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอดูค่ะ ส่วนตอนเมื่อถึงอเมริกาแล้ว เที่ยวบินหยกโดนเจ้าหน้าที่สุ่มขอดูผลตรวจโควิดค่ะ แต่หยกไม่โดนค่ะ (ผู้โดยสารท่านอื่นโดนค่ะ)

1.3.2 ต้องใช้ใบรายงานผลตัวจริงไหม?
อันนี้ขึ้นกับสายการบิน และ รัฐที่เพื่อนๆ จะเดินทางไปค่ะ ตรวจสอบข้อมูลที่อัพเดทกับสายการบินที่เพื่อนๆ จะเดินทางด้วยอีกทีนะคะ
ตอนที่หยกเดินทาง พี่ๆ ที่เคาน์เตอร์เช็คอินแจ้งว่า สามารถปริ๊นผลแลบที่เราได้รับทางอีเมลได้ค่ะ (ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวจริง) แต่ไม่แนะนำให้อิงผลแลบแบบ electronic จากมือถือ เผื่อไว้กรณีที่แบตหมด หรือ มือถือหายค่ะ
1.3.3 ตรวจ Covid ด้วยวิธี RT-PCR ได้ที่ไหน?
ในกรุงเทพฯ มีที่ตรวจเยอะแยะค่ะ (ตามโรงพยาบาลเอกชน) หาได้ไม่ยากเลย ส่วนตามต่างจังหวัด อาจมีตัวเลือกน้อยกว่า แต่ก็หาได้ไม่ยากเช่นกัน โดยเพื่อนๆ สามารถติดต่อโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านได้เลยค่ะ ด้วยการโทรสอบถามว่า “มีบริการตรวจ Covid-19 แบบ RT-PCR สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศไหมคะ?” ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ต้องมีการทำการนัดหมายล่วงหน้านะคะ
1.3.4 จะมั่นใจได้ยังไงว่าผลแลบที่ได้ จะไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง?
หยกแนะนำให้สอบถามช่วงเวลาการตัดรอบ สำหรับการส่ง sample ไปตรวจและช่วงเวลาที่จะได้รับผลแลบค่ะ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมากสำหรับเพื่อนๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด เพราะเที่ยวบินที่บินเข้ากรุงเทพฯ ก็มีจำกัด ตอนหยกบินมีวันละรอบเท่านั้น เมื่อบินไปถึงสุวรรณภูมิแล้ว ยังต้องรอข้ามคืนหรือข้ามวัน เพื่อบินต่อไปยังอเมริกาอีกค่ะ ดังนั้นแล้ว แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป นับจากเวลาที่เราไปตรวจจนถึงเวลาก่อนบินไปอเมริกานั้นจึงมีค่ามากๆ คำนวณเวลากันดีๆ นะคะ

1.3.5 ไม่ต้องใช้ ใบ Fit to Fly และ Medical Certificate
ใช่ค่ะ การเดินทางไปต่างประเทศตอนนี้ รวมทั้งการ บิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา เราใช้แค่ใบรายงานผล Covid-19 เท่านั้น ไม่ต้องใช้ ใบ Fit to Fly และ Medical Certificate แล้วค่ะ ใบสองใบนี้ เป็นเอกสารที่ใช้ในการเดินทางช่วงที่ Covid ระบาดแรกๆ ช่วงที่การตรวจ Covid ยังไม่แพร่หลาย
ความหมายคร่าวๆ อธิบายง่ายๆ ของ Fit to Fly และ Medical Certificate
- Fit to Fly คือ เอกสารที่แพทย์จะระบุว่า เรามีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้
- Medical Certificate คือ ใบรับรองแพทย์ ที่โดยส่วนใหญ่จะระบุว่า เราได้มาทำการพบแพทย์จริง ณ วันที่นั้นๆ
1.3.6 ค่าตรวจ Covid เท่าไหร่?
- ราคาตรวจ Covid ด้วยวิธี RT-PCR อยู่ระหว่าง 3,000 – 3,900 บาท*
- ราคาตรวจ Covid ด้วยวิธี RT-PCR + Fit to Fly + Medical Certificate อยู่ระหว่าง 4,200 – 5,250 บาท*
ดังนั้นแล้ว เพื่อนๆ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียเงินค่าตรวจสำหรับใบ 2 ใบหลังนี้เพิ่มนะคะ เก็บตังค์ไปทานของอร่อยๆ ที่อเมริกาดีกว่าค่ะ
*ราคาเหล่านี้ เป็นราคาที่หยกได้มาในช่วงที่หาข้อมูลก่อนเดินทางนะคะ จึงอาจมีราคาที่ไม่เท่ากันในแต่ละที่ค่ะ

1.4 แล้วถ้าติด Covid ล่ะ? เดินทางได้ไหม?
ได้ค่ะ แต่ต้องหายดีแล้วนะคะ โดยเอกสารที่ใช้ คือ
- ใบแสดงผลติด Covid ภายใน 90 วัน ก่อนการเดินทาง
- ใบรับรองจากแพทย์ว่าหายดีแล้ว ไม่มีเชื้อ Covid แล้ว
- โดยที่ไม่ต้องทำการตรวจ Covid ใหม่ค่ะ
แต่หากติด Covid มากกว่า 90 วันแล้ว ก็ต้องแสดงใบรายงานผลการตรวจ Covid ที่เป็นลบ ตามเอกสารในข้อ 1.3 นะคะ
1.5 เอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม ในการบิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา ครั้งนี้ ที่แตกต่างจากการเดินทางทั่วๆ ไป หากมี ทางสายการบินจะเตรียมให้ค่ะ เช่น
- ใบยินยอมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเอง กรณีถูกส่งตัวกลับ (กรณีที่เข้าอเมริกาไม่ได้)
ไม่แน่ใจว่าสายการบินอื่นมีไหมนะคะ จะบอกว่าตอนที่ได้รับเอกสารนี้มา คือ หยกตกใจมาก เดินทางกี่รอบๆ ก็ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน แบบไม่กล้าเซ็นต์เลยค่ะ ตั้งสตินิดนึง แล้วก็ถามพี่เจ้าหน้าที่ไปว่า “มีคนโดนส่งกลับเยอะเหรอคะ?” คำตอบที่ได้ก็คือ “ก็ไม่เยอะค่ะ แต่ก็มีแทบจะทุกวัน อย่างวันนี้ก็มี 2 คนค่ะ ทั้งนี้ การพิจารณาทั้งหมดทั้งมวลนั้นขึ้นกับ ตม. ที่อเมริกานะคะ” (เอกสารตัวนี้เซ็นต์เสร็จแล้ว ยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินเลยค่ะ)
- แบบฟอร์มจาก CDC ที่ยืนยันว่าข้อมูลต่างๆ ผลแลบต่างๆ ที่เรามี และ แสดงต่อเจ้าหน้าที่นั้น เราได้ดำเนินการจริง
โดยที่เอกสารตัวนี้เซ็นต์แล้ว เก็บไว้กับเรา รอยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ เมื่อเราทำการเปลี่ยนเครื่องค่ะ จะมีคนมารอรับเอกสารใบนี้ที่สนามบินที่ทำการเปลี่ยนเครื่องค่ะ

1.6 เอกสารอื่นๆ หากมีไว้ก็สบายใจค่ะ ตม. ที่อเมริกา อาจขอดู หรือ ไม่ก็ได้ค่ะ เช่น
- ใบจองตั๋วเครื่องบินขากลับ (หยกโดนขอดูค่ะ)
- ใบจองที่พักและแผนการเที่ยวคร่าวๆ (ไม่ได้ขอดู แต่ถามและให้ตอบค่ะ)
- ประกันการเดินทาง* อันนี้แนะนำๆให้ซื้อไว้นะคะ เป็นสิ่งที่ต้องซื้อไว้ แต่ไม่ต้องใช้ค่ะ เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ อุบัติเหตุต่างๆ นั้น สามารถเกิดได้ทุกที่ ทุกโอกาส ทั้งยังเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา และเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ยิ่งในช่วงโรคระบาดเช่นนี้ แถมวัคซีนก็เป็นของใหม่ เกิดแพ้วัคซีนขึ้นมา หรือ มีอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ใดๆ ทั้งยังไปอยู่ต่างที่ต่างแดน ที่ๆ มีค่าครองชีพสูง มีประกันไว้ ก็อุ่นใจค่ะ
*ประกันการเดินทาง เลือกแบบที่ครอบคลุมการรักษากรณีแพ้วัคซีนหรือกรณีต้องเข้าทำอาการรักษาเมื่อมีอาการข้างเคียงจากวัคซีนด้วยนะคะ
คำแนะนำในการเลือกเที่ยวบิน
โปรดเลือกเที่ยวบินที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนสนามบิน(ในเประเทศที่เพื่อนๆ ต้องเปลี่ยนเครื่อง)นะคะ เพราะหากมีการเปลี่ยนสนามบิน = ต้องผ่าน ตม ซึ่งตอนนี้กฎในการเข้าออกของแต่ละประเทศนั้นไม่ง่าย มีกฎและข้อห้ามที่จำเพาะและแตกต่างกันไปค่ะ
ตัวอย่างการเลือกเที่ยวบิน เช่น
จาก สนามบินสุวรรณภูมิ บินไป สนามบิน Narita (ใน Tokyo) แล้วต้องออกจาก สนามบิน Narita เพื่อไปต่อเครื่องที่ อีกสนามบินนึง คือ สนามบิน Haneda (ใน Tokyo) เพื่อบินไปต่อ อเมริกา แบบนี้ไม่ได้ค่ะ เพราะ ตอนนี้ญี่ปุ่นปิดประเทศ และ คนไทยเดินทางเข้าญี่ปุ่นไม่ได้


1.7 โทรถามข้อมูลกับสายการบิน เพื่อยืนยันเอกสารที่ต้องใช้ ณ วันนั้นๆ
หยกแนะนำให้ เพื่อนๆ โทรสอบถามสารการบินที่เพื่อนๆ จะเดินทางไปด้วย เพื่อรับทราบ ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญก่อนการเดินทาง (ที่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในช่วงโรคระบาดนี้) และเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการเดินทางที่เป็นปัจจุบันนะคะ (แต่ละสายการบิน แต่ละจุดหมายปลายทางของสายการบินนั้นๆ จะมีกฎและระเบียบการเดินทางที่แตกต่างกันค่ะ) ไฟล์ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างที่หยกได้มาจากเว็บไซต์ของ Japan Airlines สายการบินที่หยกเดินทางด้วยค่ะ (ไม่มีการจ้างหรือสปอนเซอร์ใดๆ นะคะ หยกเลือกเดินทางเอง เพราะสามารใช้แต้มบัตรเครดิตที่มีแลกตั๋วได้ค่ะ)

2. บิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา กับ ตั๋วที่ว่า 1,645 บาท นี้ได้มายังไง? หลอกกันเล่นเปล่า? ค่าใช้จ่าย? อยากประหยัดต้องทำยังไง?
2.1 ตั๋วไปอเมริกา ขาเดียว 1,645 บาท ได้มายังไง?
ช่วงนี้ เห็นใครๆ บินไปอเมริกา ชั้นหนึ่ง (First Class) บ้าง ชั้นธุรกิจ (Business Class) บ้าง ถึงคราวบล๊อกเกอร์สายลุยอย่าง หยก SanookTiew แล้วล่ะก็ แน่นอนค่ะ ชั้นนนนนนนประหยัด (Economy Class) 555+ ไม่ใช่แค่ประหยัดธรรมดานะคะ แต่เป็น ประหยัดมากกกกด้วย เพราะบิน(กึ่งๆ)ฟรี เสียแค่ค่าภาษีและน้ำมันเท่านั้นเองค่ะ
ใช่ค่ะ หยกเอาแต้มในบัตรเครดิตไปแลกตั๋วค่ะ นี่คือเหตุผลที่หยกใช้คำว่า กึ่งๆ ฟรี เพราะแต้มที่ได้มาแต่ละแต้มนั้น มาจากค่าใช้จ่ายที่มีการใช้จ่ายออกไปค่ะ สะสมมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่ก่อให้ตัวเองมีปัญหานะคะ คือ ไม่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเกินตัว และจ่ายเมื่อครบกำหนด (ดอกเบี้ยสูงมากค่ะ อุตส่าห์จะสะสมแต้มเพื่อแลกตั๋วบินแล้ว ก็อย่าเกินตัวจนต้องเสียดอกแพงๆ นะคะ) โดยที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว(ที่หยกเดินทางบ่อยๆ อยู่แล้ว) และ ค่าใช้จ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวันค่ะ
ปัจจุบันมีบัตรเครดิตมากมายที่เหมาะกับการสะสมแต้ม และที่เป็นพันธมิตรกับสายการบินนั้นๆ ศึกษาข้อมูลกันดูให้ดีนะคะ

2.2 ค่าใช้จ่ายบิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา นี้ เท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายทริปนี้หยกออกเองทั้งหมดนะคะ ไม่มีการว่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น โดยที่ค่าใช้จ่าย การ บินไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา ทริปนี้ นั้น มีค่าใช้จ่ายไม่ต่างไปจาก การบินไปเที่ยวที่อเมริกา ค่ะ เพราะมาที่นี่ไม่ต้องเสียค่ากักตัว (กล่าวถึงในข้อ 5 นะคะ) ไม่ต้องเสียค่าฉีดวัคซีน (โดยที่ ขั้นตอนการฉีดวัคซีน จะกล่าวถึงในข้อ 6 นะคะ) แถมยังไม่ต้องเสียค่าตรวจโควิดด้วยนะคะ จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมาและต่างจากการมาเที่ยวปกติ(ก่อนมีโรคระบาด) ก็คือ ค่าตรวจโควิด ด้วยวิธี RT-PCR (ที่ได้กล่าวไปแล้ว ในข้อ 1) และค่ากักตัวเมื่อเดินทางกลับไทย (หยกยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้นะคะ)
นอกจากนั้นแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็เหมือนๆ กับการเดินทางมาเที่ยวทั่วไปค่ะ คือ ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทางท่องเที่ยว แต่อาจจะประหยัดกว่าเดิมหน่อย เพราะการออกนอกบ้านที่จำกัดในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ fully vaccinated (กล่าวถึงในข้อ 5.1 นะคะ) การทำอาหารทานเอง ทานที่ร้านน้อยลง และอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของโรคระบาดและการป้องกันตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เป็นต้น
ทั้งนี้ เรายังอยู่ในช่วงโรคระบาดนะคะ โปรดเตรียมค่าใช้จ่าย (ในที่นี่หยกแนะนำให้ซื้อประกันนะคะ) เผื่อ กรณีที่เราติดเชื้อและต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ะ

2.3 บินไปฉีดวัคซีน ที่อเมริกาช่วงนี้ คงต้องอยู่นานกว่าที่ควร อยากประหยัดต้องทำยังไง?
อเมริกามีค่าครองชีพสูงมากค่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่วางแผนจะ เดินทาง ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา ต้องทำการบ้านให้ดีมากหน่อยนะคะ เพราะเพื่อนๆ หลายท่านอาจจะต้องอยู่นานขึ้นกว่าการมาเที่ยวปกติ (ปกติที่มาเที่ยว 1-2 อาทิตย์) เพราะหากต้องการรับวัคซีนที่มีเข็ม 1 และ 2 ห่างกัน 3 อาทิตย์ ก็ต้องอยู่อย่างน้อยๆ 3 อาทิตย์แล้วค่ะ สิ่งที่หยกแนะนำในเรื่องของการประหยัดได้ก็คือ
2.3.1 วิธีประหยัดเรื่องที่พัก
ค่าโรงแรมในอเมริกาไม่ถูกเลยค่ะ ต่ำๆ คืนละ $80 เลยทีเดียว เช่าห้องพักด้วยวีซ่าท่องเที่ยวก็ยากและแพงมากๆ แต่หากโชคดีมีคนรู้จักอยู่ในอเมริกา ลองสอบถามขอเข้าอยู่ด้วยดูนะคะ ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องบอบบางค่ะ มีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เช่น ความสนิทสนม ระยะเวลาของการขอเข้าพักด้วย และ สไตล์การอยู่อาศัยของแต่ละคน เป็นต้น เพื่อนๆ อาจขอแชร์ที่พักด้วยการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หรือ เสนอทำอาหารให้ทานบ่อยๆ และทำความสะอาดบ้านให้ทุกอาทิตย์ เป็นต้นค่ะ ใจเค้าใจเรา ลองพิจารณาความเหมาะสมดูนะคะ
อีกเรื่องที่ควรพิจารณา คือ นอกจากว่า เพื่อนที่ๆ เราจะขอไปพักอยู่ด้วยนั้น fully vaccinated (คำอธิบายอยู่ที่ข้อ 5.1 นะคะ) หรือยัง นั่นก็คือ บ้านเค้ามีเด็กเล็ก หรือ ผู้สูงวัยที่ไม่สามารถรับวัคซีนหรือไม่ หากมี เราไม่ควรไปพักกับเค้าค่ะ เพราะเรามีความเสี่ยงสูงในการได้รับเชื้อตลอดการเดินทางจากประเทศไทยเข้าสู่อเมริกา ทั้งเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันใดๆ (ยังไม่ fully vaccinated) อีกด้วยค่ะ รายละเอียดเรื่อง ขั้นตอนการฉีดวัคซีน อยู่ที่ข้อ 6 นะคะ

2.3.2 วิธีประหยัดเรื่องอาหาร
อาหารนอกบ้านมีราคาแพงสุดฤทธิ์ ต่ำๆ จานละ $12 ซึ่งมักจะอาหารประเภทที่ไม่มีเนื้อสัตว์ หากมีเนื้อสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ต่ำๆ $15 ค่ะ นี่ยังไม่รวมภาษี เซอร์วิสชาร์จ และทิป เลยนะคะ
แต่ที่น่าแปลกใจคือ เราสามารถหาส่วนประกอบอาหารตามซุปเปอร์มาเกตต่างๆ (ที่นี่จะเรียก grocery store) ในราคาที่พอๆ กับไทย (กรุงเทพฯ) ได้นะคะ สิ่งที่หยกทำก็คือ (ปกติหยกทำอาหารทานเองอยู่แล้วค่ะ) ตะเวนไปตาม grocery store หลายๆ ร้านละแวกบ้านที่สามารถเดินไปได้ แล้วดูราคาของที่จะใช้ ที่ไหนมีอะไรถูก ก็จดไว้จำไว้ แล้วไปซื้อที่นั่นค่ะ เช่น นม ชีส ที่นี่ ผักต่างๆ ต้องไปร้านนั้น เนื้อสัตว์ต้องมาร้านนี้ เป็นต้น
อีกอย่างที่สามารถประหยัดได้คือ เตรียมถุง เตรียมประเป๋าแบ็คแพ็คไปใส่ของที่ซื้อค่ะ เพราะเค้าไม่มีถุงให้ เราต้องซื้อถุง (เท่าที่เห็น มีราคาเริ่มที่ $0.25 ซึ่งหลายๆ ครั้ง หลายๆ วัน จนนานไปเป็นสัปดาห์ มันก็สะสมเพิ่มขึ้นๆ เป็นเงินเยอะเลยนะคะ)


3. บนเครื่องบินมีบริการอาหาร? เครื่องดื่ม? กินอะไร? ยังไง?
ยังมีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการปกติค่ะ เที่ยวบินที่หยกเดินทางมีผู้โดยสารน้อยมาก จาก กรุงเทพฯ – ญี่ปุ่น มีผู้โดยสารประมาณ 12-15 คน ส่วนจาก ญี่ปุ่น – อเมริกา มีผู้โดยสารประมาณ 20-25 คน เท่านั้นเองค่ะ การบริการอาหารและเครื่องดื่มทั้งสองเที่ยวบินที่หยกเดินทางด้วยนี้ จึงไม่มีรถเข็นที่บรรจุอาหารและเครื่องดิ่มเหมือนก่อน แต่เป็นการที่ถือและเดินมาเสิร์ฟผู้โดยสารแต่ละคนแทนค่ะ ส่วนน้ำดื่มก็บริการแบบ 1 ต่อ 1 โดยจะถามเราว่าต้องการดื่มอะไร แล้วค่อยเอามาให้ค่ะ ไม่ได้ใส่ถาดมาหลายๆ แก้ว เพื่อให้ผู้โดยสารเลือกหยิบเองเหมือนแต่ก่อน ในส่วนของน้ำชาหรือกาแฟ ก็ไม่ได้มาแบบเหยือกแล้วแทให้แก้วต่อแก้วเหมือนก่อนค่ะ แต่มาแบบแก้วกระดาษเดี่ยวๆ ที่มีฝาปิดแทนค่ะ (ทั้งนี้ แต่ละสายการบิน และจำนวนผู้โดยสารบนเที่ยวบินนั้นๆ อาจมีกฎระเบียบในการบริการอาหารแตกต่างกันไปนะคะ)

4. มีคนโดนส่งกลับจริงไหม? ตม. ที่อเมริกา ถามอะไรหยกบ้าง?
4.1 มีคนโดนส่งกลับจริงไหม?
ตามที่เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินสนามบินสุวรรณภูมิบอก มีจริงค่ะ แต่ใครที่จะโดนส่งกลับนั้น ก็บอกไม่ได้ค่ะ ขึ้นกับ ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ตม. ที่อเมริกา คะ
4.2 ตม. ที่อเมริกา ถามอะไรหยกบ้าง?
ต้องบอกก่อนว่า หยกมี หนังสือเดินทางทั้งหมด 4 เล่ม หยกพกไป 3 เล่ม คือ เล่ม 2, 3 และ 4 แต่ยื่นให้ เจ้าหน้าที่เพียง 2 เล่ม คือ เล่ม 2 (เล่มที่มีวีซ่าอเมริกา) และ 4 (เล่มใหม่) ค่ะ แจกแจงรายละเอียดแต่ละเล่มดังนี้
- เล่มที่ 4 คือ เล่มใหม่ที่พึ่งทำไม่ถึงเดือนก่อนเดินทางค่ะ จึงว่างเปล่าสุดๆ
- เล่มที่ 3 หมดอายุเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งเหลือเวลาน้อยกว่า 6 เดือนก่อนการเดินทาง = ใช้เดินทางไม่ได้แล้ว แต่เล่มนี้เป็นเล่มที่มีการประวัติการเดินทางที่เยอะที่สุด ทั้งยังมีวีซ่าเชงเก้นทั้งยังไม่หมดอายุอีกด้วยค่ะ จึงพกไปด้วยค่ะ เผื่อมีปัญหาใดๆ จะได้เอาให้ดูได้ว่า เราเดินทางมาเยอะจริง เที่ยวแต่ละที่ก็อยู่นานจริง และก็กลับไทยทุกครั้ง
- เล่มที่ 2 เป็นเล่มที่มีวีซ่าอเมริกาค่ะ แต่มีการเดินทางที่ยังไม่เยอะ
- เล่มที่ 1 เก่าสุด และ ว่างสุด เล่มนี้นอนเฉยๆ อยู่บ้านค่ะ

คำถามที่หยกโดนถามมา ในการเดินทาง ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา ในครั้งนี้ คือ
- มาทำอะไร?
- มานานไหม?
เหมือนจะจบแค่นี้ แต่ไม่ค่ะ เพราะพี่เจ้าหน้าที่ผู้ชาย (หยกขอเรียกว่า เจ้าหน้าที่ A นะคะ) ที่เคาน์เตอร์ท่านนี้ ได้เอาหนังสือเดินทางของหยกทั้ง 2 เล่ม ใส่ลงในกล่องพลาสติกสีเขียวๆ แบนๆ แล้วล๊อค โอ้ววววว จากนั้น ก็กวักมือเรียกเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกท่าน (หยกขอเรียกว่า เจ้าหน้าที่ B นะคะ) แล้วยื่นให้ พร้อมกับหันมาบอกหยกว่า ยังมีขั้นตอนสุดท้าย โปรดเดินตามเจ้าหน้าที่ B ไป หวาดเสียวเลยค่ะ (คิดในใจเลยว่า น่าจะยื่นหนังสือเดินทางเล่มที่ 3 ไปด้วย)
เจ้าหน้าที่ B พาหยกเดินมายังห้องใกล้ๆ ที่เขียนว่า “Secondary” เป็นห้องที่ใหญ่พอควรค่ะ มีที่นั่งเป็นแถวๆ อยู่ 4-5 แถว (แต่ละแถว มีที่นั่งอยู่ 4-5 ที่นั่ง) และยังมีที่นั่งแนวขวางอีก 1 แถว (ที่มี 5-6 ที่นั่ง) ที่ด้านหน้าเป็นพื้นที่กว้าง มีเคาน์เตอร์ใหญ่ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ และมีเจ้าหน้าที่ 2 ท่านนั่งอยู่ โดยที่ด้านข้างๆ นั้น เป็นห้องสัมภาษณ์(หยกเดาเอาเองค่ะ)ส่วนตัวขนาดพอดีๆ มีประตูปิด ที่มีโต๊ะ 1 ตัว กับ เก้าอี้อีก 2-3 ตัว อยู่จำนวน 2 ห้องถ้วน ซึ่งในห้องนี้ก็มีหญิงชาวเอเชีย 2 ท่านที่นั่งหลับ ที่เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน ท่านนึงหลับพิงกำแพงเอาหมวกปิดหน้า อีกท่านอยู่ห่างออกไป นั่งหลับกอดอกเอาผ้าพันคอปิดหน้า ก็ไม่แน่ใจว่า นี่คือรอกลับประเทศตัวเองหรืออย่างไร
เจ้าหน้าที่ B บอกให้หยกนั่งรอ พร้อมกับเอากล่องแบนๆ เขียวๆ ที่มีหนังสือเดินทางของหยกอยู่นั้นไปให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกท่านที่เคาน์เตอร์ (หยกขอเรียกว่า เจ้าหน้าที่ C นะคะ) แล้วก็เดินกลับออกไป
เจ้าหน้าที่ C ได้ปลดล๊อคกล่องเขียว และจิ้มๆ อะไรสักอย่างที่คอมพิวเตอร์ เดาว่าคงดูประวัติการเดินทางเข้าอเมริกาครั้งก่อนของหยก
สักพัก เจ้าหน้าที่ C ก็เรียกชื่อหยก แล้วให้หยกเดินไปหาค่ะ แล้วก็ยิงคำถามมาเลยค่ะ
เจ้าหน้าที่ C: ครั้งที่แล้วมาอเมริกาเมื่อไหร่?
หยกก็ตอบไปค่ะ แต่เนื่องจาก เราใส่หน้ากาก และยังมี ที่กั้นพลาสติกกั้น จึงยากที่จะได้ยินกัน เจ้าหน้าที่ C จึงเดินออกมาหน้าเคาน์เตอร์ และบอกว่า คุยกันไม่ค่อยได้ยินนะ มาๆๆ มาห้องนี้ดีกว่า แล้วเราทั้งสองจึงเดินไปคุยกันในห้องส่วนตัวค่ะ โดยที่ เจ้าหน้าที่ C ยืนพิงกำแพงที่ด้านใน และจ้องตาหยกไม่กระพริบเลย จ้องตลอดตั้งแต่คำถามแรก จน คำถามสุดท้าย แน่นอนค่ะว่าหยกก็ตื่นตกใจมาก ในใจก็คิดว่า เรามาเที่ยว ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ไม่ได้จะมาเป็นโรบินฮู้ดที่นี่ เรากลับไทยแน่ๆ แล้วก็ตั้งสติ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ แล้วก็คิดว่าคุยกับเพื่อนค่ะ

หยกยังโดนถามอีกว่า
- ครั้งที่แล้วมาอเมริกาเมื่อไหร่? (ถามใหม่ค่ะ เพราะเมื่อกี้ คงไม่ได้ยินที่หยกตอบ)
- ครั้งที่แล้วมาอเมริกานานไหม?
- มาทำอะไร?
- ครั้งนี้มานานไหม?
- กลับเมื่อไหร่?
- ขอดูตั๋วกลับหน่อย
- ทำงานอะไร?
- พกเงินสดมาเท่าไหร่?
คำถามง่ายๆ เท่านี้ค่ะ ไม่ได้ถามอะไรที่ซับซ้อนเลย หยกก็ตอบตามจริงไปค่ะ ใส่ความมั่นใจลงไปด้วย บวกแถมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้นิดหน่อย รวมๆ เวลาที่คาดเอาเอง ของการอยู่ในห้องสัมภาษณ์ส่วนตัวนั้น ก็ราวๆ 5-8 นาทีได้ โดยที่ตลอดเวลานั้น เจ้าหน้าที่ C จ้องตาไม่กระพริบเลยค่ะ แต่นะ เรามาดี จริงใจ และ ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่ต้องกลัวค่ะ

ข้อแนะนำในการตอบคำถาม
- ให้ตอบตามความจริง อย่าสร้างเรื่อง และ อย่าโกหก นะคะ แล้วทุกอย่างจะรื่นไหล และไม่มีปัญหาใดๆ ค่ะ
- อย่าตอบแค่ ไม่ หรือ ใช่ หรือ ตอบสั้นๆ เป็นคำๆ นะคะ แต่แนะนำให้ตอบยาวหน่อยให้ดูมีเรื่องราวพอดีๆ แต่ไม่ต้องลงรายละเอียดมาก เอาแค่ไทม์ไลน์และประเด็นหลักๆ พอค่ะ
ตัวอย่างของการตอบคำถาม เช่น
แทนที่จะตอบแค่ว่า
Q: ครั้งที่แล้วมาอเมริกาเมื่อไหร่?
A: พฤษภาคม 2017 ค่ะ
Q: ครั้งที่แล้วมาอเมริกานานไหม?
A: 4 เดือนค่ะ
ก็ให้ตอบประมาณนี้แทนค่ะ (อันนี้คือคำตอบที่หยกตอบไปนะคะ)
Q: ครั้งที่แล้วมาอเมริกาเมื่อไหร่?
A: (หยกก็เกริ่นๆ ก่อนตอบไปนิดๆ เพื่อเตือนให้ตัวเองจำได้ด้วย) ฉันลาออกจากงานประจำที่โรงพยาบาลสิ้นเดือนธันวา 2016 แล้วก็เริ่มออกเดินทางจริงจังปี 2017 โดยที่เดินทางเข้าอเมริกา ประมาณช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2017 ค่ะ
Q: ครั้งที่แล้วมาอเมริกานานไหม?
A: ฉันมาอเมริกาช่วงเดือนพฤษภาคม อยู่เที่ยว 4 เดือน (ก็นับนิ้ว พร้อมไล่ชื่อเดือนเสียงดัง ให้เจ้าหน้าที่ C ได้ยิน แล้วพูดต่อว่า) กลับสิ้นเดือนสิงหาคม หรือ ต้นเดือนกันยายน นี่แหละค่ะ (แล้วก็ตอบไปอีกว่า) รวมๆ แล้ว ก็อยู่เที่ยวประมาณ 4 เดือนค่ะ
แล้วถ้ามาเที่ยว (มาเที่ยวจริงๆ) คนเดียว แต่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงล่ะ?
- อันดับแรก พยายามอย่ากังวลไปค่ะ เราผ่านการขอวีซ่ามาแล้ว และเรามาเที่ยวจริงๆ ไม่ต้องกลัวไปค่ะ
- อันดับสอง แนะนำให้เตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อม ทั้งเตรียมคำพูดง่ายๆ และ เตรียมเอกสารใบรับรองการทำงาน, เอกสารการเงิน, ตั๋วกลับไทย, ใบจองที่พัก, แผนการเที่ยว และ ประกันการเดินทาง ที่เป็นภาษาอังกฤษ (พยายามให้เอกสารนั้นๆ ดูง่าย อ่านง่าย และ แต่ละอย่างมีแค่แผ่นเดียวนะคะ)
ทั้งนี้ ไม่มีกฎตายตัวในการตอบ ไม่มีอะไรต้องท่องจำ ไม่มีการสอนใครให้ตอบแบบไหนนะคะ เพราะหยกก็ไม่ทราบด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตม.มีเกณฑ์อะไรในการพิจารณา ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่คำแนะนำ และ หยกแค่ตอบคำถามต่างๆ ตามความเป็นจริงค่ะ ปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับ ประเภทวีซ่า, จุดประสงค์การเดินทาง, แผนการเที่ยว และ ระยะเวลาที่เพื่อนๆ จะอยู่ที่อเมริกานะคะ

5. เดินทางเข้าอเมริกา ต้องกักตัวไหม? ยังไง? ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย?
5.1 บินไปฉีดวัคซีน เดินทางเข้าอเมริกาต้องกักตัวไหม? ยังไง?
เพื่อนๆ ที่วางแผนหรือคิดอยากที่จะ เดินทาง ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา คงสงสัยว่า ต้องกักตัวไหม? ตอบเลยว่า “ไม่”
ใช่ค่ะ สำหรับทุกคนที่เดินทางเข้าอเมริกา จากต่างประเทศ เมื่อถึงอเมริกาแล้ว ไม่มีการบังคับให้กักตัวค่ะ แต่มีคำแนะนำจาก CDC ให้กักตัวเอง 7 วันเต็มหลังจากเดินทางเข้าอเมริกา โดยที่ระหว่างนี้ให้สังเกตอาการตัวเองตลอด และยังมีคำแนะนำให้ทำการตรวจโควิดในวันที่ 5 อีกด้วยค่ะ ซึ่ง ขั้นตอนการฉีดวัคซีน อยู่ในข้อถัดไปค่ะ
ในส่วนตัวหยกนั้น ได้ปฎิบัติตามคำแนะนำของ CDC ด้วยการกักตัวเอง ออกไปข้างนอกเฉพาะ ซื้อเสบียงมาตุน เพื่อทำอาการทานเองทั้ง 3 มื้อ (ยกเว้นมื้อแรกที่ไปถึง เนื่องจากยังไม่มีสต๊อกอาหาร จึงสั่งอาหารให้มาส่งแทนค่ะ) โดยหยกวางแผนที่จะทำเช่นนี้ (ไม่ทานอาหารนอกบ้าน หลีกเลี่ยงเข้าใปในห้องปิด ในอาคาร ยกเว้นแต่ตอนไปซื้อเสบียงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ) จนกว่าจะฉีดวัคซีนครบ 2 โดส + 2 อาทิตย์ ซึ่งเท่ากับ Fully Vaccinated = ได้รับวัคซีนครบแล้ว

โปรดทราบๆๆ
ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว แปลว่า มีภูมิแล้ว? ไม่ติดเชื้อ? ไม่ป่วย? ไม่แพร่เชื้อ?
ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว แต่ยังไม่ Fully Vaccinated (อธิบายข้อถัดไป) ยังสามารถติดเชื้อ ป่วย และ แพร่เชื้อ ได้ค่ะ หยกขออธิบายง่ายๆ นะคะ ว่า ระหว่างที่เราได้รับวัคซีน (สมมติว่าเป็นไฟเซอร์) เข็มที่ 1 จนถึงวันที่รับเข็มที่ 2 ภูมิคุ้มกันของเรา กำลังสร้าง แต่ยังสร้างได้ไม่เต็มที่ค่ะ หมายความว่า เรายังสามารถติดเชื้อ และ สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยที่เราอาจจะมีอาการน้อยๆ หรือ ไม่แสดงอาการใดๆ เลยก็เป็นได้ค่ะ ถึงแม้เราจะมีเชื้อก็ตาม ดังนั้นแล้ว หากเรายังไม่ Fully Vaccinated เราก็ยังเสี่ยงติดเชื้อ และ แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ค่ะ
Fully Vaccinated หรือ ได้รับวัคซีนครบแล้ว แปลว่าอะไร? คือ ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส (เช่น ไฟเซอร์ ก็คือ วันที่ฉีดเข็มที่สอง) แล้วใช่ไหม?
ไม่ใช่ค่ะ นี่เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนะคะ ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว หมายถึง ผู้ที่ได้รับวัคซีน “ครบจำนวนโดสตามที่กำหนด” + “อีก 2 สัปดาห์” เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากได้รับโดสสุดท้ายไปแล้ว นั่นเองค่ะตัวอย่างเช่น หยกฉีดไฟเซอร์ ไฟเซอร์กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 3 สัปดาห์
สมมตินะคะสมมติ สมมติว่าหยกฉีดโดสแรกวันที่ 1 มิถุนายน | โดสที่สองคือวันที่ 22 มิถุนายน | อีก 2 สัปดาห์หลังจากได้รับโดสสุดท้ายคือวันที่ 6 กรกฎาคม ดังนั้นแล้ว หยกจะ Fully Vaccinated หรือ ได้รับวัคซีนครบแล้ว หลังวันที่ 6 กรกฎาคม ค่ะ

5.2 ยังต้องใส่หน้ากากอนามัยไหม? ตอนไหน? ยังไง?
ถึงแม้ว่าหลายรัฐในอเมริกาจะยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกอาคาร ในที่กลางแจ้งแล้ว แต่ยังแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในอาคาร และในที่ๆ แออัดอยู่ค่ะ แต่อย่าลืมว่าเรายังอยู่ในสถานการณ์ของโรคระบาดอยู่ มีสายพันธุ์หลายสายพันธุ์ ทั้งที่ทราบและที่อาจจะกำลังกลายพันธุ์มาใหม่อีกก็ได้ และยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่สามารถรับวัคซีนได้ เช่น เด็กเล็ก หรือ กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง หรือ คนบางกลุ่มที่ต่อต้านการรับวัคซีน เป็นต้น
5.3 ทำไมยังต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี และใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในอาคารหรือที่แออัด ในเมื่อ ฉีดวัคซีนครบแล้ว?
- เรายังอยู่ใน สถานการณ์ของโรคระบาดอยู่ค่ะ สถานการณ์โดยทั่วไปในหลายๆ ประเทศยังคงวิกฤต วัคซีนยังไม่ทั่วถึง
- ถึงแม้ในหลายรัฐในอเมริกาได้ยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัยสำหรับคนที่ fully vaccinated แล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ต่อต้านการรับวัคซีน ทั้งเรายังไม่สามารถระบุได้ว่าใครที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจริง เพราะที่อเมริกา เค้าใช้ระบบของการเชื่อใจซึ่งกันและกัน (ในทุกอย่าง เช่น การซื้อตั๋วรถเมล์ ที่ไม่มีคนตรวจตั๋วประจำรถ เป็นต้น)
- นอกจากนี้ อเมริกายังเปิดประเทศ (ยกเว้นบางประเทศที่ห้ามเดินทางเข้า) ให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเดินทางเข้าได้อย่างอิสระ เราจึงไม่สามารถทราบได้เลยว่า คนที่นั่งทานอาหารที่โต๊ะข้างๆ เรา, ที่ยืนทานไอศกรีมหน้าร้านไอศกรีมใกล้ๆ เรา หรือ ที่ยืนดื่มกาแฟร้อนๆ ขณะรอไฟเขียวเพื่อข้ามถนนนั้น ได้รับวัคซีนครบแล้ว หรือ พึ่งเดินทางเข้าอเมริกาเมื่อวานนี้
- เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ยังไม่สามารถรับวัคซีนได้
- วัคซีนยังเป็นของใหม่ ยังไม่ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ของเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ โดยเฉพาะเจ้าเดลต้า ที่เริ่มเห็นข่าวกันแล้วว่า คนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่ก็ยังติดเชื้อโควิดด้วยเจ้าสายพันธุ์เดลต้านี้ได้
ดังนั้นแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าไหมคะ? หยกแนะนำว่า ให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกนอกบ้าน จนกว่าจะ Fully Vaccinated ค่ะ โดยหลังจากที่ Fully Vaccinated แล้วแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในอาคาร หรือ ในที่กลางแจ้งที่มีคนเยอะ แออัด อากาศไม่ถ่ายเท และที่ๆ มีเด็กเล็กเยอะ เพราะงานวิจัยถึงประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดต่างๆ ที่มีต่อโควิดในทุกสายพันธุ์นั้นยังน้อยและจำกัดอยู่มากนะคะ (โดยเฉพาะไอ้เจ้าสายพันธุ์เดลต้า) ถึงแม้จะ ฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือ Fully Vaccinated แล้ว ก็สบายใจขึ้นค่ะ แต่ก็อย่าประมาทนะคะ แนะนำให้ยังต้องระมัดระวังตัวให้ดีๆ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ

บทความนี้มีความประสงค์ที่จะแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ของการเดินทางช่วงโรคระบาดมายังอเมริกา ไม่ได้มีเจตนาในการแนะนำ หรือ สนับสนุน ให้เดินทางมาอเมริกาในช่วงโรคระบาดนะคะ ทั้งวัคซีนที่เป็นของใหม่ ไหนจะความเสี่ยงติดเชื้อระหว่างการเดินทางอีก ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายของการเดินทางในช่วงโรคระบาดที่สามารถบานปรายได้ หรือแม้กระทั่ง(เมื่อถึงเวลากลับไทย)จะกลับเข้าไทยได้ไหม เป็นต้น จึงมีความเสี่ยงและมีสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้หลายด้านมากๆ ค่ะ โปรดพิจารณา ประเมินสถานการณ์ตัวเอง และ คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ หากวางแผนหรือคิดที่จะเดินทางมาอเมริกานะคะ
6. ขั้นตอนการฉีดวัคซีน ที่อเมริกา ไม่เสียค่าใช้จ่ายจริงไหม? หาที่ฉีดยากหรือเปล่า? ฉีดที่ไหนได้บ้าง? ใช้เอกสารอะไร? ดำเนินการยังไง? walk-in ได้ไหม? หรือต้องจองเท่านั้น?
6.1 ฉีดวัคซีนที่อเมริกา ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่ายจริงไหม? นักท่องเที่ยวก็ฉีดได้?
สถานที่ฉีดวัคซีนที่อเมริกา จะเป็นร้านขายยาค่ะ เช่น CVS Phamarcy และ Walgreens ซึ่งตามใจกลางเมืองใหญ่ๆ นั้น จะมีให้เห็นอยู่ทั่วไปเลยค่ะ แทบจะทุกๆ 5-7 แยกเลยนะคะ จึงง่าย และ สะดวกมากๆ ทั้งยังไม่เสียค่าใช้จ่ายจริงๆ ค่ะ ซึ่งที่อเมริกา เค้าสนุบสนุนให้ทุกคนรับวัคซีน จึงทำการฉีดให้กับคนทุกคนที่อยู่ในอเมริกา(ด้วยวีซ่าใดๆ ก็ตาม)และที่ประสงค์จะรับวัคซีน สามารถเข้ารับวัคซีนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นและไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ ทั้ง ขั้นตอนการฉีดวัคซีน ยังง่าย และ ยังสามารถเลือก walk-in หรือ ทำการจองล่วงหน้าก็ได้ ตามสะดวกเลยค่ะ
เพื่อนๆ สามารถดูข้อมูลสถานที่ฉีดใกล้ที่พัก หรือ ที่ๆ สะดวกเดินทางไป และ ชนิดวัคซีนที่มีบริการ ณ ที่นั้นๆ ทั้งยังสามารถทำการจองไว้ก็ได้ ที่นี่ เว็บไซต์ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

6.2 เอกสารที่ใช้ใน การฉีดวัคซีน ที่อเมริกา
- ใช้แค่ หนังสือเดินทาง ค่ะ เค้าไม่ดูแม้กระทั่งชนิดวีซ่าของเราเลยค่ะ
6.3 ขั้นตอนการฉีดวัคซีน ที่อเมริกา
- เพื่อนๆ สามารถหา สถานที่ฉีดวัคซีนได้ ที่นี่ จากนั้นคลิ๊ก “Find Covid-19 Vaccines”
- เลือกชนิดของวัคซีนต้องการ
- หาข้อมูลสถานที่ฉีด ที่มีวัคซีนชนิดนั้นๆ โดยการใส่รหัสไปรษณีย์ในเขตที่อยู่ ที่ช่อง “Search area 5-digit Zip Code” และเลือกความกว้างของรัศมีของพื้นที่ ที่ต้องการค้นหา ในช่อง “Search Radius” จากนั้นคลิ๊ก “Search For Vaccines”
- เลือกสถานที่ฉีดที่สะดวก แล้วดูรายละเอียดต่างๆ ดูว่ามีวัคซีนไหม หากมีจะระบุว่า “In Stock” หากไม่มี จะระบุว่า “Out Of Stock” โดยที่ stock จะอัพเดททุกๆ 72 ชั่วโมงนะคะ
- เพื่อนๆ ที่วางแผนจะ บิน ไปฉีดวัคซีนที่อเมริกา สามารถดำเนินการนัดหมายล่วงหน้าได้โดย
- คลิ๊กที่ “Check appointment availability” ได้เลยค่ะ
- เลื่อนลงข้างล่าง แล้วคลิ๊ก “Schedule new appointment”
- ใส่รหัสไปรษณีย์อีกครั้ง ในช่อง “Enter your ZIP or city and state” แล้วคลิ๊ก Search ซึ่งระบบจะแจ้งว่า สามารถทำการจองได้ไหม หากได้จะขึ้นสีเขียวๆ ว่า “
- คลิ๊ก “As a guest” เพื่อดำเนินการนัดหมาย
- ทำการตอบแบบสอบถามเบื้องต้น เมื่อผ่านแล้ว คลิ๊ก “Schedule vaccination” กรอกข้อมูลให้เรียบร้อย แล้วคลิ๊ก “Schedule now”
- จากนั้น ก็เลือกสถานที่และเวลาที่สะดวกจะฉีด (หยก walk-in นะคะ เลยไม่มีข้อมูลต่อจากตรงนี้ ว่าเลือกเวลานัดแล้ว จะเป็นยังไงต่อ แต่น่าจะมีแค่นี้ค่ะ และเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว หยกเดาว่าเพื่อนๆ คงจะได้รับอีเมลยืนยันการนัดหมายนะคะ)
- ส่วนกรณี walk-in ที่ไหนที่ walk-in ได้ (ซึ่งก็เกือบทุกที่นะคะ) สามารถดูรายละเอียดที่ “More Details” ตรงช่อง “Walk-ins” หากมีคำว่า “Walk-ins accepted” ก็คือไม่ต้องจองค่ะ walk-in ได้เลย พกแค่ หนังสือเดินทาง ไปค่ะ เค้าจะลงทะเบียนให้เรา แล้วให้เราเซ็นต์เอกสารยินยอม แล้วก็รอฉีดวัคซีนได้เลยค่ะ
- อย่างที่บอกว่า เค้าสนับสนุนให้คนฉีดวัคซีน จึงมีบริการรถไปส่งเพื่อฉีดวัคซีนฟรี โดยที่สามารถจองรถได้ในเว็บเดียวกันนั้น โดยคลิ๊ก “Get a free Lyft/Uber” (หยกไม่ได้ใช้นะคะ ที่ๆ หยกไปฉีดนั้นอยู่ใกล้ที่พักค่ะ เลยเดินเท้าไปสบายๆ)

หากเพื่อนๆ มีคำถามเพิ่มเติม มีข้อสงสัย ตรงไหนไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุม อยากให้อธิบายตรงไหนเพิ่มเติม หรือ แค่อยากพูดคุยทักทาย ก็คอมเม้นต์มาที่ช่องคอมเม้นต์ที่ด้านล่างได้เลยนะคะ หยกจะยินดีมากๆ และจะรีบเข้ามาตอบทันทีค่ะ
ระวังตัวกันดีๆ และ รักษาสุขภาพกันให้ดีนะคะ เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นช่วงที่ยากๆ เหล่านี้ไปให้ได้ด้วยดีกันทุกคนค่ะ กอดๆ
เหมือนอ่านอนาคตตัวเอง
– นี่จะบิน japan airline เหมือนกัน
– พาสปอร์ตเก่าจะหมดอายุ เพิ่งทำเล่มใหม่ ใหม่เอี่ยม ยังไม่เคยใช้เหมือนกันเลย
ตกใจมาก อะไรจะเหมือนกันขนาดนี้
งั้นตอนไปตม. ยื่นพาสปอร์ตเล่มใหม่+เล่มวีซ่า+เล่มเก่า ไปพร้อมกันเลยดีไหมครับ ตอยแรกว่าจะทำเหมือนหยกคือยื่นแค่เล่มใหม่+วีซ่า แต่อ่านแล้วสยองเลย
สวัสดีค่ะ คุณ Kj
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂
555+ อย่าให้เหมือนเลยค่ะ ขอให้เดินผ่านตม.สบายๆ ดีกว่านะคะ แต่หากบังเอิ๊ญบังเอิญว่าเหมือน ก็อย่าตกใจไปค่ะ ไม่ได้น่ากลัวอะไรและเราก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แค่ตกใจเบาๆ คือเที่ยวมาก็เยอะ ไม่เคยเจอแบบนี้ ก็แค่นั้นเองค่ะ ส่วนพี่ๆ เจ้าหน้าที่เค้าทำตามหน้าที่ค่ะ ไม่ได้มาคอยจับผิดอะไร คำถามก็ทั่วๆ ไปที่เราตอบได้อยู่แล้ว ส่วนเราก็ทำตามหน้าที่เรา ไปเที่ยวตามวีซ่าที่เราได้ ถามอะไรมาก็ตอบอันนั้นไป ตอบตามตรง สบายๆ ชิวๆ ค่ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แนะนำยื่นหนังสือเดินทางทั้งสามเล่มเลยดีกว่าค่ะ เค้าจะดูไม่ดูนั้นก็อีกเรื่อง ขอเดินทางปลอดภัย ให้ทุกอย่างราบรื่นนะคะ เทคแคร์ค่ะ 🙂
ไม่ทราบว่าพี่หยกเดินทางคนเดียวหรือไปกับเพื่อนหรอคะ
พอดีว่าจะไปกับเพื่อนและน้องชายของเพื่อนค่ะ แต่ว่ากลัวจะเข้าประเทศไม่ได้กันครบหมด กลัวโดนตีกลับแค่บางคนค่ะ
ละถ้ากักตัวสามารถกักตัวห้องเดียวกับเพื่อนได้ไหมคะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณออน
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂
หยกขอถามเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้เข้าใจคำถามและแนะนำได้ถูกนะคะ เหตุใดจึงคิดว่า “กลัวเข้าประเทศไม่ได้ครบหมด กลัวโดนตีกลับแค่บางคน” และ “ถ้ากักตัว สามารถกักตัวห้องเดียวกับเพื่อนได้ไหม” นี่หมายถึงกักตัวที่ไทยใช่ไหมคะ?
จะเดินทางเข้า อเมริกาค่ะ ขออภัยในเรื่องกักตัวค่ะ พอดีมาอ่านใหม่อีกทีแล้ว กักตัวตามความรับผิดชอบเรา ไม่บังคับใช่มั้ยคะ
คืออรเคยไปอเมริกา2-3ครั้งค่ะ แต่เพื่อนกับน้องชายไม่เคยไปค่ะ แต่ไปหลายประเทศนอกเหนือจากอเมริกาค่ะ เลยกลัวว่าตม.ทางอเมริกาจะไม่ให้เข้ารึเปล่ากลัวว่าถ้าไปพร้อมกัน แล้วเพื่อนอร หรือ น้องชายเพื่อนอรโดนตีกลับอย่างนี้ค่ะ
เหตุผลที่จะไปเพราะว่าจะไปฉีดวัคซีนค่ะ
อรเลยอยากทราบว่าควรเดินทางทีละคนไปอเมริกามั้ยคะ หรือไปพร้อมกัน แบบนี้ค่ะ
ขอโทษนะคะ ที่ถามคำถามไม่ชัดเจนไปค่ะ
สวัสดีอีกรอบค่ะคุณอร 🙂
ใช่ค่ะ เรื่องกักตัวที่อเมริกาเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลต่อส่วนรวมค่ะ
เรื่องการโดนส่งตัวกลับนี่ค่อนข้างตอบยากนะคะ การพิจารณาทั้งหมดทั้งมวลขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตม.ที่อเมริกาแต่เพียงผู้เดียวเลยค่ะ หยกทำได้แค่เพียงแนะนำนะคะ ว่าให้เตรียมเอกสารที่พัก ตั๋วกลับ แผนการเที่ยว* แบบพร้อมโชว์หากเค้าถามหา และที่สำคัญคือเรื่องเงินค่ะ ยิ่งช่วงโรคระบาดนี้ งานหายากค่ะ เค้ากลัวคนมาทำงานผิดกฎหมายที่บ้านเค้าค่ะ หากเค้าถามเรื่องเงินที่จะเอามาใช้จ่ายเมื่ออยู่เที่ยวที่อเมริกา แล้วเราสามารถแสดงให้เค้าดูได้ว่าเรามีเงินมาเที่ยว ไม่ได้มีจุดประสงค์มาหาเงินที่นี่แน่ๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ (เท่าที่ทำการบ้านก่อนเดินทาง เค้าถามเรื่องเงินกับหลายๆ คนค่ะ) หากมีบัตรเครดิตก็เตรียมไว้พร้อมให้ดู หากมีเงินในบัญชี ในแอฟต่างๆ ก็ให้มั่นใจว่าสามารถเอาให้ดูได้นะคะ
*(ถึงแม้เราจะมีจุดประสงค์เพื่อไปฉีดวัคซีนก็ตาม เค้าไม่ถามเรื่องนี้ค่ะ เพราะเค้ายินดีให้ทุกคนฉีดอยู่แล้ว แนะนำว่าไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องวัคซีนหากเค้าไม่ได้ถาม และเราก็แน่นอนว่าต้องถือโอกาสเที่ยวที่อเมริกาแน่ๆ ดังนั้น เตรียมแผนการเที่ยวคร่าวๆ ให้พร้อม ส่วนใหญ่เค้าไม่ขอดูค่ะ แต่เค้าจะถาม แนะนำให้ทุกคนทราบแผนการเที่ยว ไม่ต้องระบุวันเป๊ะๆ แค่รู้ว่ามีแพลนจะไปเที่ยวไหนบ้าง ชื่อสถานที่ต่างๆ เมื่อโดนถาม จะได้ตอบกันได้ตรงกันทุกคนค่ะ)
ท่านที่เดินทางเที่ยวบ่อยๆ อยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหานะคะ เพราะมีหลักฐานว่าเราท่องเที่ยวจริง และกลับไทยทุกครั้ง แนะนำให้พกหนังสือเดินทางเล่มเก่าไปด้วย (หากมีตราประทับวีซ่าเยอะ) และยื่นพร้อมเล่มใหม่และ/หรือเล่มที่มีวีซ่าอเมริกา ที่ตม.ที่สนามบินที่อเมริกาค่ะ
ทั้งนี้ อย่ากังวลไปนะคะ เตรียมตัว เตรียมเอกสารให้พร้อม เราไปเที่ยวจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาไปหารายได้ที่นั้น เจตนาเราตามวีซ่าที่ได้ คือวีซ่าท่องเที่ยว เค้าจะไม่ส่งตัวเรากลับค่ะ สบายใจได้ 🙂
เดินทางเมื่อไหร่ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ ได้ประสบการณ์แบบไหน กลับมาเล่ามาแบ่งปันให้ฟังนะคะ 🙂
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่พี่หยกอธิบายอย่างละเอียด ตอบกลับมาได้อุ่นใจมากๆเลยค่ะ ?? ☺️??
อรกับเพื่อนเตรียมเอกสารครบตามที่พี่หยกเขียนไว้แล้วค่ะ
ขอรบกวนปรึกษาอีกนิดนึงได้มั้ยคะ
ตอนที่พี่หยกเดินทางไปอเมริกา เดินทางคนเดียวหรือกับเพื่อนหรอคะ?
(ขออภัยนะคะถ้าละเมิดถามเรื่องส่วนตัวตรงคำถามนี้ไป)
พอดีว่าอรปรึกษากับเพื่อนว่า ถ้ากังวลควรไปทีละคนดีกว่า พี่หยกคิดว่าจะดีมั้ยคะ? แต่เพื่อนอรไม่ค่อยแข็งแรงภาษาอังกฤษเท่าไหร่ค่ะ หรือควรไปพร้อมกันแล้วตอนเข้าตม.อรไปช่วยคุยอย่างนี้ได้มั้ยคะ
ขออภัยนะคะที่ถามเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
สวัสดีค่ะคุณอร โทษทีค่ะ ลืมตอบตรงนี้ไปค่ะ ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า เรื่องการถูกส่งตัวกลับนี่ไม่มีกฎระเบียบตายตัวใดๆ นะคะ การตัดสินใจทั้งหมด ขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตม.ล้วนๆ ค่ะ จะมาเดี่ยว มาคู่ หรือ มากลุ่ม ได้หมดค่ะ (หยกเดินทางมากับสามีค่ะ) ดังนั้น หยกสามารถทำได้คือให้คำแนะนำเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีคำแนะนำจากเพื่อนๆ ท่านอื่น(หรือแหล่งข้อมูลอื่น)ที่คุณอรเห็นว่าเหมาะสมกว่าของหยกก็เป็นได้นะคะ หยกคิดว่าให้ดำเนินการตามปกติเหมือนตอนไปเที่ยวจะดีที่สุดค่ะ คือเราก็เดินทางกันไปเป็นกลุ่ม ไปด้วยกันเลย เที่ยวด้วยกัน (แนะนำอีกอย่างค่ะ หากตัดสินใจที่จะเดินทางไปด้วยกัน แนะนำให้ต่อคิวตม.แถวเดียวกันนะคะ จะได้ตอบได้ว่า มาเที่ยวกับเพื่อนคนนี้คนนั้นค่ะ)
ส่วนคุณเพื่อนที่ภาษาไม่แข็งแรง แนะนำให้ไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ภาษาถึงจะได้เที่ยว คนที่ไม่ได้ภาษาก็สามารถไปเที่ยวได้ ซึ่งตม.เข้าใจจุดนี้ค่ะ แต่ให้ฝึกคำง่ายๆ ไป เช่น travel with friends (แล้วชี้ไปที่เพื่อน) และ ให้คุณอรฝึกถามคำถามแล้วให้เพื่อนฝึกตอบ (ฝากบอกคุณเพื่อนด้วยนะคะ ว่าปกติแล้วตม.เค้าไม่ถามโหดค่ะ มักจะถามแค่เบื้องต้นง่ายๆ) เช่น มาทำอะไร มานานไหม กลับเมื่อไหร่ นี่คือคำถามหลักๆ ง่ายๆ ที่เค้ามักถามค่ะ ก็ตอบแค่ keyword ไปก็ได้ค่ะ ง่ายๆ สบายๆ เรามาเที่ยว ไม่ได้ทำอะไรผิด เค้าไม่ส่งเรากลับหรอกนะคะ
อรขอขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำที่ใส่ใจรายละเอียดมากๆนะคะ พี่หยก ??☺️
อรรอติดตามเรื่องราวใหม่ๆของพี่หยกอยู่นะคะ ?
ต้องขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ด้วยความยินดีค่ะ และขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม 🙂 เดินทางปลอดภัย ดูแลสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะระหว่างการเดินทางนะคะ 🙂