
หากใครเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศคีร์กีซสถาน แล้วชอบกิจกรรมการเทรคกิ้ง ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องเทรคบนเส้นทาง Ala Kul Trek เส้นทางที่ฮิตอันดับต้นๆ ของที่นี่เลยค่ะ โดยที่ Ala Kul Trek นี้อยู่ในเมืองที่ชื่อ Karakol และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Karakol ทั้งจุดเริ่มเดินยังไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าไหร่ และสามารถเดินทางไปเองได้ง่ายนิดเดียว ซึ่งนี่เป็นเทรคแรกของหยกในคีร์กีซสถานค่ะ โดยวางแผนไว้ว่าจะเทรค 4 – 5 วันค่ะ แต่เนื่องด้วยอากาศไม่เป็นใจ ทั้งฝนตก ทั้งลูกเห็บตก เม็ดใหญ่มาก จนเจ็บไปทั้งหัวและทุกที่ที่โดนเลยค่ะ ไหนจะหิมะตกหนักที่พาสอีก ทำให้ไม่สามารถเดินเทรคได้ครบตามแผนที่วางไว้ เลยต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็เปียกจะเจ็บตัวขนาดไหน ไปติดตามกันเลยค่ะ
ทั้งนี้ หยกยังมี คู่มือท่องเที่ยว Krygyzstan กับรายละเอียดที่แน่น ครบถ้วน และมีรูปภาพประกอบอีกเพียบ ให้เพื่อนๆ สามารถหาข้อมูลเที่ยวได้ด้วยตัวเองตามลิ้งค์เลยค่ะ ไม่เพียงเท่านั้น หยกยังวางแผนจะจัดทริปพาเพื่อนๆ เที่ยวที่ คีร์กีซสถาน อีกด้วยค่ะ หากเพื่อนๆ ท่านใดสนใจอยากเที่ยวที่ คีร์กีซสถาน แบบลึกซึ้ง แบบลุย ได้เทรค ได้แค้มป์ และได้สัมผัสกับความเป็น คีร์กีซ จริงๆ (หยกไม่พาเที่ยวแบบชะโงกนะคะ) หยกจัด ทัวร์คีร์กีซสถาน ด้วยค่ะ คลิ๊กอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิ้งค์ได้เลย หรือจะอีเมลมาสอบถามข้อสงสัยต่างๆ ที่นี่ก็ได้นะคะ ไป เที่ยว Kyrgyzstan ด้วยกันค่ะ


การเทรคบนเส้นทาง Ala Kul Trek นี้นั้น หยกแบกกระเป๋าเองค่ะ เทรคแรกไงคะ ยัง(คิดว่าตัวเอง)ฟิตอยู่ ที่ไหนได้ เกือบตายแน่ะค่ะ กระเป๋าหนักมาก เพราะต้องเตรียมอาหาร อุปกรณ์ทำอาหาร เต็นท์ และเครื่องนอนไปเอง ไหนจะมีอุปกรณ์กันหนาวต่างๆ อีก ซึ่งจริงๆ คือคิดถูกค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองฟิต จากการที่คิดว่าเตรียมตัวมาดี แต่เอาเข้าจริงคือเทรคแรกนี้น่วม แต่เริ่มฟิตเทรคที่สองที่สามนู้นเลยค่ะ
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 1: Karakol – Sorita Campsite

-นั่งรถเมล์-
หลังจากลงรถเมล์สาย 101 ที่นั่งมาจากในเมือง Karakol มาจนสุดสาย ซึ่งจะมีป้ายรถเมล์และที่นั่งรอค่ะ โดยที่ด้านหน้าจะมองเห็นทางแยกสองทาง ทางด้านขวาจะมีซุ้มประตู ซึ่งไม่ใช่ทางนี้นะคะ หยกหลงเดินเข้าไปแล้วค่ะ 55+ หลุดๆ หลงๆ วนๆ อยู่ในนี้เกือบ 50 นาทีเลย กระเป๋าที่หนักอยู่แล้ว หนักและระบมสุดๆ ค่ะ แต่ก็ขำดีค่ะ ได้เจอชาวบ้านและบ้านคนหลายหลังด้วย ซึ่งนี่เป็นเขตบ้านเรือนค่ะ แต่ที่ไม่รู้จะขำหรือเสียใจดีก็คือ ได้เดินเจอชาวบ้านที่กำลังทำสวนคนหนึ่ง เราก็ถามทางเค้าไปว่าไปทางนี้ถูกไหม เค้าก็คิดๆๆๆ แล้วชี้ไปทางนู้น ชี้ไปทางนี้ แล้วก็คิดๆๆๆๆ เงียบไปสักพัก แล้วก็หันมาตอบว่า มาถูกทางแล้ว ไม่พอค่ะ มีชาวบ้านอีกคนได้ยินเราคุยกัน ก็เดินออกมา ทั้งยังยืนยันกันว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว พร้อมยิ้มๆ แต่ที่ไหนได้ สงสัยจะโดนแกล้งค่ะ เพราะเรามากันผิดทาง โดยทางเข้าอุทยานแห่งชาติ Karakol จริงๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือของป้ายรถเมล์ค่ะ คือพอมองเห็นที่ทำการเจ้าหน้าที่และที่ขายตั๋วเข้าอุทยานแห่งชาติ Karakol ปุ๊ป ก็ฮาตัวเองเบาๆ คือไปเดินหลง เดินวอร์มอัพแบกกระเป๋าอยู่นานเกือบชั่วโมงเลยค่ะ หึหึ

-ค่าธรรมเนียม-
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติ Karakol คนละ 250 som ค่าเต็นท์ 150 som ต่อเต็นท์ (ต้องนำเต็นท์มาเองนะคะ ไม่มีให้เช่าค่ะ) หรือ yurt 1,000 som ต่อ yurt ซึ่ง 1 yurt สามารถนอนได้ 3 – 4 คน เก็บตั๋วดีๆ นะคะ อาจจะเจอสุ่มตรวจได้ค่ะ

ทางเดินจากป้ายรถเมล์ถึงประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาตินั้นไม่ไกลค่ะ แค่ 2 – 3 นาทีก็ถึงแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถมองเห็นประตูทางเข้าตั้งแต่จุดลงรถเมล์เท่านั้นเอง ซึ่งจากนี้ไปก็เดินตามทางเดินที่เป็นถนนดินง่ายๆ แต่ระวังรถหน่อยนะคะ เพราะข้างในนี้นั้นมีหมู่บ้านย่อยๆ หลายหมู่บ้าน จึงมีบ้านคนอยู่หลายหลังเลยค่ะ ทั้งยังมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นทั้ง yurt และ โฮมเสตย์ หากใครต้องการจะพักผ่อน เดินเล่นชิวๆ สบายๆ ในอุทยานแห่งชาติ Karakol แบบที่ไม่ต้องทำการเทรคกิ้งหลายๆ วัน หรือใครที่จะเดินแค่ day hike ก็ได้ค่ะ เลยพอจะมีรถขับผ่านบ้าง และมีฝุ่นคลุ้งๆ เป็นครั้งคราว

-สะพานไม้สุดท้าย-
ทิวทัศน์ที่เห็นตลอดทางคือเขียว เขียว และก็เขียว ต้นไม้เยอะมากๆ ค่ะ รู้สึกสดชื่นสุดๆ ทั้งฟ้าก็แจ่ม ยิ่งทำให้บรรยากาศดีขึ้นไปใหญ่ เดินเพลินๆ บนทางถนนดินสักพักก็จะเจอแม่น้ำอยู่ทางขวามือค่ะ ให้เราเดินคู่เคียงไปตลอดทาง แม่น้ำไหลแรงใสสะอาดสุดๆ (ซึ่งเดินไปพักใหญ่ๆ จะมีจุดที่เดินลงไปที่แม่น้ำได้ หากต้องการจะเติมน้ำไว้ดื่มค่ะ) เดินเพลินๆ ฟังเสียงน้ำไหลแรงๆ กับวิวธรรมชาติสวยๆ ก็จะเดินผ่านบ้านคน เดินผ่านคอกม้า แกะ และ ห่าน มาเรื่อยๆ ซึ่งจะผ่านสะพานไม้ข้ามฝั่ง ข้ามแม่น้ำที่อยู่ทางด้านขวามืออยู่ 2-3 สะพาน และผ่าน yurt สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย โดยให้ข้ามสะพานไม้สุดท้ายค่ะ อ้าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นสะพานไม้สุดท้าย สังเกตได้ง่ายๆ เลยค่ะ ว่าหลังสะพานนี้ไปจะไม่มีเสาไฟฟ้าอีกแล้ว คือออกนอกเขตที่อยู่อาศัยแล้วค่ะ โดยเป็นสะพานสั้นๆ พอข้ามสะพานนี้ไป ทางด้านซ้ายมือก็จะเป็นลานหญ้ากว้างริมน้ำ ทางตรงหน้าก็เป็นเทรลโค้งไปทางซ้ายเดินเข้าสู่ดงต้นสนเขียวๆ เทรคที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นแล้วค่ะ

-หลงทาง-
แต่พอเอาเข้าจริง หยกไม่ได้ข้ามสะพานไม้สุดท้ายที่บอกไว้นะคะ ไปข้ามตั้งแต่สะพานแรกเลย เลยขึ้นเขา มุดป่า โผล่บ้านคน เดินงงตามไร่นา สุดท้ายมาโผล่ที่โฮมเสตย์ ในที่สุดก็มีชาวบ้านนำทางออกมาบนถนนดิน แล้วชี้ทางว่าให้เดินไปเรื่อยๆ จนเจอสะพานไม้สุดท้าย ค่อยข้าม 55+ เลยแอบผจญภัยเบาๆ ทั้งชัน ทั้งปีน ทั้งป่าย ทั้งเดินอ้อมสุดๆ ก็หากใครอยากมีประสบการณ์มันส์ๆ ก็ข้ามสะพานไหนก็ได้ค่ะ อิอิ

-อาหารกลางวัน-
ทางเดินนั้นเดินไม่ยากค่ะ ไม่ชัน ไม่ลาด ไม่แคบแต่อย่างใด เดินเพลินๆ เดี๋ยวก็มีคนพื้นเมืองขี่ม้าผ่าน เดี๋ยวก็เจอฝูงคุณม้างามๆ ที่วิ่งมาอย่างเร็ว หลบแทบจะไม่ทัน 55+ สักพักใหญ่ๆ ก็จะถึงทางโค้งซ้าย ที่มีลานกว้างทางด้านขวามือ ที่มีน้ำไหลผ่าน มีส่วนที่อยู่ในร่ม ร่มรื่นมากๆ อากาศเย็นสบาย ซึ่งเหมาะเป็นจุดพักทานอาหารกลางวันมากๆ ค่ะ

-นึกว่าเที่ยวอยู่ในนิวซีแลนด์-
จากนั้นทางเดินก็ชันขึ้น แต่ชันนิดๆ นะคะ แต่ด้วยความที่เราเดินสูงขึ้นๆ ปริมาณออกซิเจนมันก็น้อยลงๆ ก็เลยจะรู้สึกเหนื่อยหอบ โหยหาออกซิเจนมากขึ้น ไหนจะยังแบกกระเป๋าเองอีก แต่พอถึงจุดที่เหนื่อยมากขึ้นๆ วิวก็สวยยิ่งขึ้นๆ เช่นกันค่ะ แล้วทางเดินก็มาสู่ทางโค้งเลียบริมน้ำ ที่มีเดินกว้าง เห็นภูเขาที่ซ้อนกันอยู่ด้านหลังหลายลูก และต้นสนเต็มไปหมด จนนึกว่าอยู่ในนิวซีแลนด์เลยนะคะ (ถึงแม้จะยังไม่เคยไปนิวซีแลนด์ก็ตาม ลองดูรูปสิคะ เหมือนรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่มักจะเห็นในนิวซีแลนด์เลย) กินบรรยากาศได้สักพักฝนก็เริ่มตกค่ะ ตกปรอยๆ พอให้ได้ชุ่มฉ่ำ ก็สดชื่นไปอีกแบบ ในส่วนของอากาศนั้นก็เย็นสบายดีค่ะ พลอยให้เดินเพลินมากขึ้นอีกด้วย


สักประมาณชั่วโมงให้หลังก็จะถึงจุดที่เราต้องข้ามแม่น้ำ ซึ่งมีสะพานให้ข้ามทางด้านซ้ายมือค่ะ โดยจุดนี้ก็เป็นอีกจุดสำหรับการเติมน้ำดื่มสุดท้าย ก่อนถึง Sorita Campsite จุดค้างคืนของค่ำคืนนี้ค่ะ ก่อนจะเดินลัดเลาะเข้าสู่ทางเดินในป่า แต่ก็เดินในป่าแค่ไม่นาน ก็โผล่ออกมา แล้วก็มองเห็นเนินชันๆ เบื้องหน้าที่ต้องไต่แล้วค่ะ โดยที่ต้องเดินบนเนอนชันๆ นี้ยาวไปๆ ประมาณชั่วโมงนิดๆ ค่ะ อย่าลืมหยุดพักแล้วหันกลับไปมองวิวที่ด้านหลังนะคะ สวยงามมากๆ การเดินบนทางชันแบบนี้ พร้อมกับการแบกกระเป๋าหนักๆ นั้น ใช้พลังงานไปเยอะเลยค่ะ พอถึงจุดพักที่เป็นทางเดินในร่มเรียบๆ (ก่อนที่จะต้องไต่ความชันต่อ) ก็ต้องหยุดพักเติมพลังค่ะ ตอนนี้คือเหนื่อยๆ มากๆ อากาศก็ไม่ดีค่ะ เมฆหมอกดำๆ เริ่มครอบคลุมพื้นที่เต็มไปหมด


-ตัดสินใจ-
หลังจากเดินมาได้สักพัก ณ จุดๆ นี้ ด้วยความที่กระเป๋าที่หนักมาก ทั้งเหนื่อยทั้งทรมาน และเดินมานานกว่า 7 ชั่วโมงแล้ว จึงลองคุยกันกับเพื่อนๆ ว่าจะเป็นไปได้ไหมหากเราจะหาจุดกางเต็นท์กันแถวๆ นี้ แล้วค่อยไปต่อพรุ่งนี้ เพราะเหนื่อยกันมาก หลังไหล่นี่ระบมไปหมด แถมสภาพอากาศดูท่าจะไม่ดีมากด้วย แต่ดูจากพื้นที่รอบๆ แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะแถวนี้ไม่มีแหล่งน้ำเลย มีสองทางคือ เดินไปต่อ (โดยที่ตอนนี้เราไม่ทราบว่าต้องเดินอีกไกลไหม) หรือเดินกลับลงไปตรงสะพานข้ามที่มีแหล่งน้ำ แล้วตั้งแค้มป์กันตรงนั้น สรุปเราคิดกันว่า ไปต่อเถอะ หากเดินลงก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ อยู่ดี หากเดินไปต่อเราก็อาจใช้เวลาพอๆ กันหรือมากกว่านิดหน่อย แต่เราก็ได้เดินตามแผนที่วางไว้ จึงฮึดเดินต่อค่ะ

-ลูกเห็บตก เม็ดใหญ่กว่านี้มีไหม-
เดินไต่ความชันไปต่อสักพัก ทางเดินก็เปลี่ยนเข้าสู่ทางเดินแคบๆ ริมผา ที่ชันบ้าน ลาดลงบ้าง จากที่ฝนตกพรำๆ ก็เริ่มหนักขึ้น แล้วก็มีลูกเห็บตกค่ะ ตอนนี้คือก็สนุกนะคะ ได้เดิน่ามกลางลูกเห็บ ยิ่งตอนที่ลูกเห็บเม็ดใหญ่ขึ้นๆ โหย ทั้งสนุกทั้งเจ็บเลยค่ะ หนาวมากๆ อีกด้วย เป็นแะไรที่ให้บรรยากาศครบมากๆ “เหนื่อย หนาว หนัก หายใจลำบาก (ลูก)เห็บตกใส่หัวเจ็บ” ตอนนี้ทั้งเดินไป ทั้งฮาไปค่ะ ทั้งจะอยากได้วิดีโอ เพื่อนก็ฮา ทั้งจะอยากเดินให้เร็ว แต่ก็ลื่น น้ำก็ไหลหลากตามทางเดิน รองเท้านี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ กันน้ำได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอน้ำเช้าไปในรองเท้านี่ไม่ยอมออกไปไหน ท่วมในนั้น จนหนักไปทั้งเท้าเลยค่ะ

-Sorita Campsite-
ลูกเห็บยังคงตกไม่หยุด ยิ่งเดินสูงขึ้นๆ เม็ดก็ใหญ่ขึ้นๆ อากาศก็หนาวมากขึ้น และยิ่งหนาวไปใหญ่ เมื่อปียกไปทั้งตัว สักพักทางเดินดินก็หายไป เปลี่ยนสู่ทางเดินหินที่มีหลากหลายขนาด แต่ก็มีทางเดินชัดเจนด้วยสัญลักษณ์บอกทางที่มีให้สังเกตมากมาย ทั้งเป็นวงกลมใหญ่ๆ ด้วยหมึกสีน้ำเงิน หรือ ลูกศร และแบบที่เป็นก้อนหินเล็กๆ หลายๆ ก้อนเรียงกันเป็นชั้นๆ สูงขึ้นๆ สักพักทั้งฝนและลูกเห็บก็หยุดตกค่ะ เดินเพลินๆ ข้ามหินก้อนนู้ทีก้อนนี้ที วนไปๆ สัก 20 นาที ก็จะเจอจุดหมายของค่ำคืนนี้ Sorita Campsite ที่อยู่สูงประมาณ 2,950 เมตร คือหายเหนื่อยขึ้นมาทันทีเลยค่ะ น่าแปลกใจสุดๆ รีบหาจุดกางเต็นท์ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่แล้วฝนก็ตกปรอยๆ อีกรอบ อากาศก็หนาวมากขึ้น เลยกลายเป็นว่าต้องทำอาหารทานกันในเต็นท์ค่ะ คืนนี้หลับสบายสุดๆ ค่ะ เสียงกรนดังแข่งกันทั้งคืนเลยค่ะ

Sorita Campsite นั้นมี yurt ให้พักด้วยค่ะ ทั้งยังมีอาหารและของขายเล็กๆ น้อยๆ ไว้บริการอีกด้วย
Day 2: Sorita Campsite


-จะไปต่อได้ไหมน้า-
วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดชื่น ถึงแม้จะระบมที่ไหล่จากกระเป๋าที่หนักก็ตาม วันนี้เมฆหมอกครึ้มมากๆ ค่ะ มองไปทางที่ต้องเดินวันนี้คือขาวโพนไปหมด ซึ่งกำหนดเดิมของวันนี้นั้นต้องเดินข้าม Ala Kul Lake ที่สูงประมาณ 3,550 เมตร และข้ามพาส (Ala Kul Pass) ในวันถัดไปที่สูงประมาณ 3,850 เมตร และด้วยทางเดินที่เค้าว่ากันว่าชัน และยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ ทั้งกับสภาพอากาศตอนเช้าที่ไม่เป็นใจ คือฝั่งทาง Ala Kul Lake นั้นขาวไปหมด บ่งบอกว่าหิมะกำลังตกอย่างหนัก ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามที่เดินขึ้นมาเมื่อวานนั้นฟ้าแจ่มสวยเชียวค่ะ (แต่ช่วงสายๆ หน่อยความมืดก็เริ่มคืบคลาน บ่งบอกว่าฝน(และ/หรือลูกเห็บ)กำลังตก) วันนี้เราจึงยังไม่ทำการฟันธงว่าจะเดินต่อไป Ala Kul Lake ไหม แต่เริ่มวันด้วยการทานอาหารก่อนการเก็บเต็นท์ แล้วสังเกตสภาพอากาศต่อไป

-พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส-
อากาศฝั่งนู้นไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลยค่ะ ยังคงขาวโพนไปหมด จึงเดินไปถามคนพื้นเมืองใน Sorita Campsite ที่มี yurt ไว้ให้บริการ เป็นหญิงสาวอวบๆ หน้าตาน่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ดี และเป็นมิตรสุดๆ ค่ะ เธอชื่อ ซาช่า (ชื่อเธอคล้ายๆ ชื่อนี้แหละค่ะ แต่เรียกแอบยากนิดๆ หยกเลยเรียกว่า ซาช่า ง่ายดี) เธอก็บอกว่าดูๆ แล้วอากาศวันนี้น่าจะไม่ดี หิมะตกหนัก แต่สามารถเดินไปได้นะ แค่ต้องระมัดระวังให้มากหน่อย เลยตัดสินใจกันว่าจะค้างที่นี่อีกคืนค่ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปต่อ (ถ้าอากาศเป็นใจ) วันนี้เลยชิวๆ ค่ะ ไม่ต้องเร่งรีบทำและกินอาหารเช้า เอาของที่ยังคงเปียกจากเมื่อวานออกมาตากต่อ ทั้งยังเอาของที่เปื้อนๆ เช่น กางเกงและถุงเท้าที่เปื้อนโคลนมาทำความสะอาด ทั้งยังมีนอนกลางวันอีก อิอิ

-อาหารเย็นใน yurt-
ในส่วนของช่วงบ่ายนั้น ฝั่งทาง Ala Kul Lake ดันฟ้าแจ่ม แต่ทั้งนี้หากเริ่มเดินตอนนี้ก็คงไปถึงไม่ทันมืดแน่ อีกทั้งเทรลยังปกคลุมไปด้วยหิมะอีกต่างหาก ส่วนอีกฝั่งก็ยังคงมืดและดูท่าว่ายังคงมีฝนตกอยู่เป็นแน่ เราจึงไปเดินเล่น พูดคุยกับซานซ่า ที่อยู่กับคุณย่า พ่อของเธอ และน้องสาวที่อายุห่างกันหลายปีมากๆ และด้วยความเป็นมิตร คุยสนุก ติดตลกหน่อยๆ เราจึงตกลงใจจะทานอาหารเย็นกับเธอ ซึ่งให้ประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจมากๆ อาหารก็รสชาติใช้ได้ แต่ที่อร่อยสุดๆ นั้นคือแยมผลไม้ที่เธอทำเอง รสเข้ม ผลไม้เต็มๆ อร่อยมากๆ ค่ะ ซึ่งก็ดีแล้วที่เราตัดสินใจทานอาหารเย็นที่นี่ เพราะพอตกเย็นฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว

-ท้องฟ้าสีแดง ไฟลุกโชน-
ค่ำนี้พระอาทิตย์ตกสวยมากๆ ยังกับมีไฟลุกอยู่ในภูเขาเลยค่ะ ทั้งยังมีเมฆหมอกหนา กับอากาศที่หนาวเย็น เลยให้ความรู้สึกของบรรยากาศที่ตรงข้าม แต่ลงตัวและแปลกใหม่ดีค่ะ คืนนี้อากาศหนาวมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ปวดเข้าห้องน้ำกลางดึก ถึงแม้จะพยายามนอนต่อเพื่อให้ถึงเช้า แล้วค่อยเข้าห้องน้ำทีเดียว แต่ปวดมากจนไม่ไหวค่ะ เลยต้องบังคับตัวเองให้ออกมาจากถุงนอนอันแสนจะอุ่น แต่ก็ดีใจที่ทำเช่นนั้น นอกจากได้เข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ต้องอดกลั้นต่อทั้งคืนแล้ว ดวงดาวยามค่ำคืนยังสวย เปล่งประกายเต็มท้องฟ้าเลยด้วยค่ะ


มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 3: Sorita Campsite – Karakol

-ตัดสินใจ-
เช้าวันนี้อากาศเย็นค่ะ รอบทิศขาวไปหมด เลยไม่ต้องคิดอะไรมาก ไป Ala Kul Lake ไม่ได้แน่ แต่ด้วยความที่เรามีปริมาณอาหารที่จำกัด หากบังเอิญว่าพรุ่งนี้เราเดินไป Ala Kul Lake ได้ โดนที่ค้างคืนต่อที่นี่อีก 1 คืน เราก็จะมีปริมาณอาหารไม่เพียงพอที่จะเดินจนจบเส้นทางที่เราวางแผนไว้ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าวันนี้ฝั่งที่เราเดินขึ้นมาจะมีอากาศไม่ดี เราก็ต้องเดินกลับค่ะ เพราะยังไงก็แล้วแต่ เดาว่าเมื่อลงไปต่ำเรื่อยๆ อากาศก็จะดีขึ้นๆ ค่ะ หากฝนกตกหรือลูกเห็บตก ก็คงต้องลุยค่ะ เพราะหากได้เข้าเมืองแล้ว จะเปียกจะปอนขนาดไหนก็ไม่เป็นไร มีที่พัก มีร้านอาหาร และซักผ้าได้

-กลับทางเดิม-
วันนี้เลยต้องเดินกลับทางเดิมที่เดินมา ซึ่งจะเป็นการเดินลงซะส่วนใหญ่ และแน่นอนว่าพอกลับทางเดิมนั้น มันก็จะทำให้เราเดินได้เร็วมากขึ้น การหยุดถ่ายรูปก็จะน้อยลง เช้านี้เลยไม่ต้องเร่งรีบมาก ก่อนกลับก็ร่ำลากับซาช่าและครอบครัว คุณย่าใจดีให้ลูกอมมาเติมพลังระหว่างทางอีกด้วยค่ะ
ท้องฟ้าเบื้องหน้านั้นเป็นเมฆดำมืดมาก แต่วิวก็ยังคงสวยมากเช่นเดิม ในส่วนของทางเดินนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเต็มไปด้วยความเปียกและเฉอะแฉะเป็นที่สุด ทุกคนรีบเดินลงกันอย่างรวดเร็ว แล้วเพียงแค่เวลาที่รู้สึกว่าแปปเดียว เราก็ไต่ลงมาจากทางเดินที่หมดความชันแล้ว สู่สะพานข้ามน้ำ แล้วก็เป็นทางเดินกว้างๆ เดินง่ายๆ เลียบริมน้ำ ที่เริ่มมีฝนตกปรอยๆ กับลมแรงๆ ทีนี้ก็เดินเพลินๆ ตากฝนชิวๆ บนทางเดินที่แฉะ กับท้องฟ้าที่โปร่งขึ้นๆ ทุกทีที่เดินใกล้เข้าไปค่ะ เช่นกันกับท้องฟ้าด้านหลังที่ยังคงขาวโพนและมืดหมน
แต่พอเดินถึงสะพานไม้ที่จะข้ามเข้าสู่ถนนดิน ที่มีรถผ่านได้ ฝนก็หยุดค่ะ ฟ้าแจ่มเชียว หากแต่อย่ามองไปที่ข้างหลังนะคะ เพราะอึมครึมๆ มาก
ขาลงก็เดินลงพรวดๆ ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมงนิดๆ ในส่วนของขาขึ้นนั้นก็ปาไป 8.5 ชั่วโมงค่ะ ไม่รวมเวลาที่หลงทางตอนต้นนะคะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สวยงามมากเลยใช่ไหมล่ะ คอมเม้นต์เข้ามาพูดคุยกัน หรือสอบถาม แนะนำ ติ ชม หรือ ซักถามข้อสงสัยที่ช่องคอมเม้นต์ด้านล่างได้เลยค่ะ
ทั้งนี้ หากเพื่อนๆ กำลังวางแผนจะไปเที่ยวที่ คีร์กีซสถาน และมองหาสถานที่เทรคกิ้งอื่นๆ อีก หยกก็มีมาแนะนำค่ะ สวยงามมากๆ และน่าเดินมากๆ เหมือนกัน นั่นก็คือ Heights of Alay Trek ซึ่งหยกได้แบ่งออกเป็น 2 บทความนะคะ อีกอันจะเป็นตอนข้ามพาส Sary Mogol Pass ค่ะ และ Keskenkyia Loop Trek ซึ่งหยกก็แบ่งออกเป็นสองบทความเช่นกัน คือ Keskenkyia Loop Trek 1 และ Keskenkyia Loop Trek 2 นะคะ คลิ๊กลิ้งค์เข้าไปอ่านได้เลยค่ะ
นอกจากคีร์กีซสถานแล้ว หยกยังเที่ยวในทาร์จิกิสถาน ในเอเชียกลางด้วยนะคะ ซึ่งก็ได้ประสบการณ์แห่งความอาหารเป็นพิษมา ทั้งยังเป็นการท้องเสียครั้งแรกและทรมานสุดๆ ต่อเนื่องกันถึง 3 วัน 5 วัน เลยนำวิธีการป้องกันและรับมือมาฝากค่ะ โปรดรอติดตามเรื่องราวสนุกๆ และสถานที่สวยๆ ในทาจิกิสถานด้วยนะคะ ซึ่งขอเริ่มที่ day hike ที่น่าแนะนำเป็นที่สุดที่ทางเดินง่าย ไฮกิ้ง Pshart Valley ทิวทัศน์รอบข้างนั้นสวย หลากสี และแปลกตา รับรองว่าติดใจแน่ๆ เลยค่ะ โดยต้องข้ามพาสที่อยู่สูงกว่า 4,750 เมตรที่สนุกมากมาย และยังจะเชิญชวนให้ไปพิสูจน์ความกล้ากับเทรลเล็ๆ แคบๆ บนเส้นทางที่ท้าทายสุดๆ ไฮกิ้ง Darshai Gorge หรือจะเป็นการเดินชิวๆ 2 วัน 1 คืนที่ Jizew เพื่อการพักผ่อนแบบเต็มที่ นอนสบายๆ ในโฮมสเตย์ริมทะเลสาบสีฟ้าสวย จนแบบว่าขออยู่ต่อเลยได้ไหม โดยอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์เหล่านี้เลยค่ะอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ
ถัาจะไป อุทยานแห่งชาติ Karakol แล้วค้างคืนในนั้น ถ้าไม่ค้องเดินมาก ควรค้างที่ Camp ใหนดีครับ
สวัสดีค่ะ คุณวรรษ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂
เราสามารถกางเต็นท์ ตั้งแค้มป์ที่ไหนก็ได้ใน อุทยานแห่งชาติ Karakol เลยค่ะ ดังนั้นแล้ว หากไม่ต้องการเดินเยอะเกินไป เห็นจุดไหนน่าพัก ใกล้ๆ ริมน้ำหน่อย ก็กางเต็นท์ ตั้งแค้มป์ ทำอาหารสนุกๆ กันได้เลยค่ะ ทั้งนี้ จะไม่มี yurt ให้พักระหว่างทางใกล้ๆ นะคะ มีอีกทีก็คือเดินยาวไปๆ ทั้งวันจนถึง Sorita Campsite เลยค่ะ
หากจะให้หยกแนะนำ บริเวณลานกว้างริมแม่น้ำ ก่อนข้ามสะพานไม้ ตรงแคปชั่นที่หยกเขียนว่า “ถึงสะพานนี่ก็คือเดินมาได้เกินครึ่งทางแล้วค่ะ” ก็เป็นจุดที่น่าพักค่ะ ซึ่งน่าจะเดินมาประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ ได้ แต่หากคิดว่ายังเดินเยอะไป ช่วงระหว่างทางก่อนหน้านี้ (ดูรูปบนรูปสะพานเมื่อกี้นี้) ก็สวยงาม วิวดี น่ากางเต็นท์ชมวิวเป็นที่สุดเช่นกันค่ะ เลือกจุดกางเต็นท์ดีๆ พื้นราบๆ นะคะ และให้ไกลจาก trail (ทางเดิน) สักหน่อยนะคะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ