
หากจะพูดถึงความงดงามของ Fann Mountains หรือ ภูเขาแฟนน์ ซึ่งเป็นที่ที่มีชื่อเสียงมากในทาจิกิสถาน ทั้งยังเป็นที่ฮิตของเหล่าเทรคเกอร์ทั้งหลายอีกด้วยค่ะ เพราะที่นี่เป็นจุดที่สามารถเข้าไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของ Fann Mountains ได้ง่ายที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจหากจะพบเจอเพื่อนใหม่มากมาย ทั้งที่นี่ยังมีทะเลสาบสวยสีฟ้าเข้มและใสสุดๆ อยู่หลายแห่งเลยค่ะ เลยทำให้ได้นอนกางเต็นท์ชิวๆ ริมทะเลสาบสวยใส จึงทำให้ Fann Mountains มีดีมากกว่าการเทรคกิ้ง เพราะที่นี่ยังเป็นที่ชื่นชอบเป็นที่นิยมของคนที่หลงใหลการว่ายน้ำและการแค้มปิ้งริมน้ำเป็นที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีภูเขาทรงสวยๆ อีกมากมายให้ได้ปีนได้ไต่กันซะมันส์ไปเลย ก็เลยเป็นที่ชื่นชอบของนักปีนเขาอีกด้วยนะคะ ทั้งหลายทั้งมวลนี่ เลยทำให้ Fann Mountains เป็นจุดหมายต้นๆ ที่ขึ้นชื่อในทาจิกิสถานที่นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศเลือกที่จะมาใกล้ชิดธรรมชาติกันค่ะ

นอกจากกิจกรรมมากมายที่สามารถเลือกทำได้ที่ Fann Mountains อันกว้างไกลนี่แล้ว ทัศนียภาพยังสวยงามมากๆ อีกด้วย โดยหากจะพูดถึงกิจกรรมการเทรคกิ้งแล้วล่ะก็ ใน Fann Mountains นั้นมีเส้นทางเทรคกิ้งให้ได้เลือกเยอะมากเลยทีเดียว จะเลือกเดินน้อย เดินมาก เดินยาก หรือ เดินนาน ก็ได้ค่ะ มีหลายระดับความยากง่ายให้ได้เลือก ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ส่วนหยกนั้น หยกเลือกที่จะเทรคบนเส้นทาง The Lakes Loop Trek ซึ่งเค้าว่ากันว่ามีทะลสาบที่สวยที่สุดใน Fann Mountains อีกทั้งนี่เป็นเทรคสุดท้ายก่อนจบทริปในเอเชียกลางของหยกแล้วค่ะ จึงเลือกเทรคที่สบายๆ หน่อย เดินไม่ยาก และเดินไม่นานมาก แบบที่น้อยกว่า 6-7 ชั่วโมงต่อวัน แต่ยังมีทัศนียภาพสวยๆ ให้ได้ชมตลอดทาง ทั้งยังเดินสนุกอีกด้วย ที่สำคัญคือเทรคนี้ไม่ต้องแบกกระเป๋าเองค่ะ เทรคตัวปลิวสบายๆ เลย มีคุณลาช่วยแบกสัมภาระให้

พร้อมกันหรือยังคะ ไปลุย The Lakes Loop Trek ใน Fann Mountains พร้อมๆ กันเลยค่ะ
เส้นทางเดินของ The Lakes Loop Trek ใน Fann Mountains นั้นเป็นการเดินเป็นลูปตามชื่อ โดยแต่ละคืนที่มีการหยุดพักกางเต็นท์นั้น จะนอนริมทะเลสาบ ทั้งนี้ เพื่อนๆ สามารถเลือกเดินวนลูปได้สองทางนะคะ คือสามารถเลือกวนคนละทางกับที่หยกเดินได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทางที่หยกเลือก (รายละเอียดด้านล่าง) ตอนข้าม Alaudin Pass นั้นเดินลงง่ายกว่านะคะ เพราะมีช่วงที่ชันมากๆๆ และทางเดินยังลื่นอีกด้วย เลยทำให้การเดินลงนั้นเดินง่ายกว่าเดินขึ้นค่ะ

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 1: Artuch ใกล้ๆ Artuch Alpager (2,200 m) – Kulikalon Lake (2,860 m) | 2 ชั่วโมง 15 นาที | 6.9 km

วันนี้เป็นวันที่เดินสั้นที่สุด โดยรวมแล้วเดินไม่ยาก ไม่ได้ตามริมหน้าผาสูงๆ ทางเดินแคบๆ หรือ บันไดชันๆ แต่ก็ไม่ได้เดินง่ายนัก ด้วยความที่ทางเดินที่ราบเรียบค่อนข้างจะชันกลางแจ้ง ไม่มีร่มไม้ และมีทางเดินบางช่วงที่ลื่น ไหนอากาศยังร้อนสุดๆ(ในตอนกลางวัน)อีกด้วย ถึงแม้วันนี้จะเดินแค่แปปๆ แต่ก็อย่าประมาทไม่พกน้ำดื่มไปด้วยนะคะ เพราะระหว่างทางนั้นไม่มีแหล่งน้ำดื่มตามธรรมชาติให้เติมค่ะ และด้วยความที่อากาศร้อนมากๆ จึงสูญเสียน้ำออกไปเป็นเหงื่อจนตัวเปียกเลยเชียว แต่อย่ากลัวว่าตัวจะเหม็นตั้งแต่วันแรกนะคะ เพราะวันนี้จะได้ลงอาบน้ำในทะเลสาบ สบายตัวแน่นอนค่ะ



จุดเริ่มเดินนั้นอยู่ที่หมู่บ้าน Artuch บริเวณใกล้ๆ Alpager (ที่ชุมนุม+ที่พักของกลุ่มคนที่มาปีนเขา) โดยจะเดินไปตามทางถนนดินแค่สั้นๆ 10-15 นาทีก็ถึงทางเดินที่เป็นเทรลจริงๆ แล้วค่ะ โดยเราจะไต่ระดับชันขึ้นสูงขึ้นเลียบไปกับแม่น้ำที่อยู่ด้านซ้ายมือ ทางเดินกลางแจ้ง ไม่มีร่มไม้ โดยจะเดินบนทางเดินดินที่มีหินก้อนใหญ่ๆ กระจัดกระจาย เดินไปได้สักประมาณ 1 ชั่วโมง ทางเดินก็จะกลายเป็นทางเดินราบตรงยาว และสูงชันขึ้นไปเรื่อยๆ อย่ามัวแต่หยุดพักเหนื่อย แล้วก้มหน้าก้มหน้าหอบอยู่นะคะ ลองหันหลังกลับมาชมวิวความงามที่ด้านหลังที่จะทำให้ลืมความเหนื่อยไปเลยค่ะ เดินชันขึ้นไปเรื่อยๆ ชันไปยาวไปจนถึงจุดบนสุด ซึ่งจากนี้ไปทางเดินเปบลี่ยนสู่ทางเดินราบแล้วค่ะ ซึ่งตรงนี้ยังเป็นจุดชมวิวและรับลมที่ดีสุดๆ


จากนี้ไปก็เดินสบายๆ สัก 10-15 นาทีก็ถึงทะเลสาบ Kulikalon จุดกางเต็นท์ของค่ำคืนนี้แล้ว ซึ่งบนนี้สูงถึง 2,860 เมตรเลยนะคะ ดังนั้นอากาศเย็นและแดดแรงแน่นอนค่ะ

หลังจากเดินตัวเปียกมา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลาอาบน้ำ ว่ายน้ำเล่นให้สบายตัวแล้วค่ะ ซึ่งน่าแปลกที่ที่ความสูงกว่า 2,860 เมตร แต่น้ำในทะเลสาบ Kulikalon กลับอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ได้หนาวเย็นจับใจค่ะ เลยทำให้แช่ตัวได้อย่างสบายๆ จนไม่อยากจะขึ้นเลย เพราะอากาศด้านบนนั้นหนาวกว่าน้ำซะอีก


บริเวณ Kulaikalon Lake นั้นมีเต็นท์ร้านอาหารให้บริการอยู่ 1 แห่งถ้วน หากใครไม่ต้องการทำอาหารทานเองก็เลือกไปทานที่นี่ได้ค่ะ ทั้งยังมีบ้านคนอีกไม่กี่หลังอยู่บริเวณรอบๆ ซึ่งบริเวณนี้ยังมีทะเลสาบเล็กๆ อีกมากมายกระจัดกระจายกันไป สามารถเลือกกางเต็นท์ที่ไหนก็ได้ตามแต่ชอบเลยค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวมักจะกางเต็นท์ริมๆ ทะเลสาบค่ะ เลือกได้เลยว่าจะเอาริมฝั่งไหน ทั้งนี้ในยามเช้าตรู่ อาจพบเห็นไอหมอกลอยละล่องอยู่เหนือน้ำได้นะคะ

เนื่องจากวันนี้เดินสั้นๆ จึงมาถึงเร็วค่ะ เลยมีเวลาชิวๆ สบายๆ ทั้งที่ทะเลสาบ Kulikalon นี้ยังมีปลา จึงได้เห็นคุณไกด์และน้องชาย (เด็กหนุ่มคุมลา) ตกปลาเพื่อทำอาหารเย็นกันค่ะ สนุกสนานกันเชียว รอลุ้นว่าเย็นนี้จะได้ทานอาหารไหม

Day 2: Kulaikalon Lake (2,860 m) – Alaudin Pass (3,760 m) – Alaudin Lake (2,700 m) | 5 ชั่วโมง | 11 km


วันนี้เป็นวันข้ามพาสค่ะ พอพูดถึงการข้ามพาสปุ๊ป หากคนที่เคยเทรคมาก่อนก็จะเข้าใจตรงกันว่าเป็นวันที่ค่อนข้างจะหนัก คือต้องมีการเตรียมตัวให้ดี เตรียมน้ำดื่มให้พร้อม ทั้งยังต้องเตรียมเสบียงไว้เติมพลังงานระหว่างการเดินมากกว่าวันอื่นๆ และที่สำคัญพาสนี้สูงถึง 3,760 เมตร และต้องไต่ระดับที่แตกต่างกันกว่า 900 เมตรอีกด้วย ก็จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันลมให้พร้อม โดยอาจใช้เสื้อกันฝนแทนเสื้อกันลม หากใครกังวลเรื่องน้ำหนักของที่ต้องแบก เตรียมถุงมือ และหมวกไหมพรม ไว้กับตัว ให้พร้อมหยิบใช้งานได้ทุกเมื่อ


ข้อแนะนำ
- วันนี้จะไม่เดินผ่านแหล่งน้ำดื่ม จนถึงปลายทางก็คือ Alaudin Lake เลยค่ะ ทั้งวันนี้ยังเป็นวันข้ามพาสอีกด้วย จึงต้องเตรียมน้ำดื่มให้พร้อม ให้เพียงพอสำหรับการเดินที่ยาวนานกว่า 5 ชั่วโมงด้วยนะคะ
- ไม่แนะนำให้เติมน้ำดื่มที่ Kulaikalon Lake เพราะน้ำดื่มไม่สะอาดเท่าที่ควร หากเทียบกับที่ที่หยกจะแนะนำ ซึ่งที่เติมน้ำนี้จะอยู่ห่างจาก Kulaikalon Lake ประมาณ 20 – 30 นาที โดยจะเดินผ่านบ้านคน(หลังสุดท้าย)ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือไปได้อีกสัก 5 นาที ก่อนจะขึ้นเนิน จริงๆ คือสังเกตได้ชัดเลยค่ะ เพราะเราจะต้องข้ามแม่น้ำสายนี้ ก่อนเดินขึ้นเนินไป ทั้งนี้ เพื่อนๆ สามารถเดินไกลออกไปอีกสักนิด เพื่อเติมน้ำที่ต้นน้ำก็ได้นะคะ
- นอกจากจะเตรียมเสบียงประเภทที่ให้พลังงานสูงแล้ว การพกลูกอมหรือบ๊วยเค็มไปด้วย ก็ช่วยให้หายเหนื่อยได้มาก ทั้งยังช่วยกระตุ้นก้าวเดินให้ต่อเนื่องมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

เราเริ่มเดินจากความสูงประมาณ 2,860 เมตร และต้องข้ามพาสที่สูงถึง 3,760 เมตร โดยที่ปลายทางนั้นสูง 2,700เมตร นั้นก็หมายความว่า เราจะต้องไต่ระดับของความชันกว่า 900 เมตร แล้วจากนั้นต้องเดินลงทางลาดอีกเกือบ 1,000 เมตร เลยค่ะสนุกกันเลยทีเดียว โชคดีที่วันนี้วิวสวยมากๆ ไหนจะมีลมพัดเย็นสบายอีก ถึงแม้แดดจะแรงมากด้วยก็ตาม ที่สำคัญคือ เทรลเป็นแบบซิกแซกค่ะ ไม่ได้เป็นแบบทางเดินตรงๆ เลยเดินไม่ยากมาก(สักเท่าไหร่) แต่ก็เล่นเอาเหนื่อย หอบ หยุดพักบ่อยมากเลยแหละค่ะ

แต่ แต่ เดินขึ้นไปยังความสูงกว่า 3,760 เมตรแบบนั้น รู้แค่ว่าตอนขึ้นนั้น ยาวนานมากๆ ทั้งชัน ทั้งหายใจลำบาก ด้วยปริมาณออกซิเจนที่น้อยลง หยุดพักก็บ่อยมากๆ แต่อย่างที่บอกคือวิวสวยสุดๆ ทั้งยังมีลมพัดเย็นๆ ให้สดชื่นอยู่แทบจะตลอดทางอีกด้วยค่ะ ค่อยๆ เดินกันนะคะ แล้วพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ จิบน้ำบ่อยๆ ด้วยค่ะ

วันนี้เจอกลุ่มเทรคเกอร์ขนาดใหญ่ มากันถึง 17 คน ที่อายุวัยเกษียณทั้งแก๊งค์เลยค่ะ เห็นแล้วประทับใจสุดๆ และก็ภาวนาอยากที่จะยังมีกำลังและแข็งแรงแบบนี้เมื่ออายุเยอะๆ จะได้มีแรงมาลุยเดินป่าเดินเขาที่รักแบบนี้ เนอะๆ ซึ่งทางเดินช่วงนี้ชันมากๆ หยกนี่ยังหอบแฮ่กๆ จนต้องหยิบลูกอมและบ๊วยเค็มมาเติมพลังอยู่บ่อยๆ แต่พอนึกได้ว่าคุณตาคุณยายกลุ่มนี้จะต้องมีสุขภาพที่ดีขนาดไหนถึงจะมาทำกิจกรรมแบบนี้ได้ ก็ทำให้หยกมีแรงฮึด ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีเลยแหละค่ะ คือพอหยกเหนื่อยและท้อ ก็จะหันไปมองเทรคเกอร์กลุ่มนี้ เพื่อขอแรงฮึดเพื่อไปต่อ


ข้อควรระวัง
อย่าเดินเร็วเกินไป ดื่มน้ำเยอะๆ อย่าให้ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ เพราะกิจกรรมการเดินขึ้นที่สูงๆ กลางแจ้งแบบนี้นั้น เจอแดดแรงแบบจังๆ เลยค่ะ เสียเหงื่อไปมากแบบไม่รู้ตัวเลย จึงต้องระมัดระวังเรื่องอาการ AMS ให้มากๆ ส่วนหยกนั้น acclimatized มาบ้างแล้วค่ะ จากเทรคก่อนๆ ที่ผ่านความสูงที่สูงสุดคือ 4,750 เมตร และเทรคมานานเกือบสองเดือน แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกันค่ะ


ยิ่งช่วงที่ใกล้จะถึงพาสนั้นคือชันสุดๆ หยุดเดินแทบจะทุก 10 ก้าวเลยค่ะ โดยที่ก้าวแรกที่ถึงพาสนั้นคือวิวเบื้องล่างนั้นสวยมากๆ สวยจนตาโต อ้าปากค้าง แบบที่ไม่รู้จะบรรยายยังไง (ดูรูปประกอบแล้วกันนะคะ) กับวิวทะเลสาบ 2 – 3 แห่งไกลลิบตา สีน้ำเงินเข้มๆ ไล่สีไปยังฟ้าอ่อนๆ ที่แลดูว่าน้ำใสสุดๆ หลายคนให้ฉายา Alaudin Lake ว่าเป็นมัลดีฟส์ของทาจิกิสถาน ซึ่งหยกก็เห็นด้วยมากๆ เลยค่ะ



เนื่องจากโดนขู่ไว้ว่าวันนี้จะหนักสุด เพราะต้องเดินข้ามพาสที่ชันมากๆ ทั้งชันขึ้นและลาดลง และต้องเดินนานกว่า 5-6 ชั่วโมง หยกจึงสต๊อกน้ำดื่มและเสบียงมากหน่อย และยังต้องพกอาหารเที่ยงอีกด้วยค่ะ แต่ daypack หยกนี่ใบเล็กนิดเดียว เลยตัดสินใจไม่พกถุงมือ, หมวกไหมพรม และเสื้อกันฝน (ซึ่งเอามาใส่กันลม) คือกะว่าถ้าอากาศบนพาสหนาวมากๆ ก็จะรีบเดินลงทันที ไม่หยุดพักนาน ซึงตอนที่ถึงพาสนั้นลมแรงมากๆ แอบหนาวเบาๆ ค่ะ แต่พอทนได้ น่าจะเป็นเพราะแดดที่แรง (หยกมาถึงที่พาสประมาณ 11.30 น. ค่ะ) เลยยืนชมวิวบนพาสได้ไม่นาน ต้องเดินลงไปต่ำอีกนิกสัก 5 ก้าว 10 ก้าวเพื่อให้พาสบังลมไว้ แล้วทานอาหารเที่ยงเคล้าวิวงามๆ เบื้องหน้า



หลังจากเติมพลังแกล้มกับวิวงามๆ เบื้องล่างจนอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลิ้งลงไปสัมผัสกับความงามอย่างใกล้ชิดแล้วน่ะสิคะ ใช่ค่ะ แทบจะต้องกลิ้งเลยค่ะ ก็ทางลงนั้นลาดชันลงไปมากๆ เดินลงอย่างเดียวยาวไปๆ จนถึง Alaudin Lake เลยค่ะ ซึ่งทางเดินเป็นทางเดินดินที่ลื่นไหลปรี๊ดๆ ไถลกันสนุกจนฝุ่นนี่คลุ้งเชียวค่ะ ประมาณว่าถ้าเบรคทีนี่ก็แทบจะหัวทิ่มเลยค่ะ แต่พอลงไปเรื่อยๆ วิวทะเลสาบก็ใหญ่ขึ้นๆ น่าหลงใหลมากขึ้น ยิ่งทำให้ต้องหยุดบ่อยขึ้น ก็มันสวยมากๆ จนต้องหยุดดูเลยน่ะสิคะ แต่ไม่ว่าจะหยุดบ่อยแค่ไหนก็ไม่เบื่อค่ะ มีแค่จะช้าเท่านั้นเอง


ซึ่งพอถึงตัวทะเลสาบนั้นสวยมากๆ แต่เค้าไม่อนุญาตให้ทำการลงว่ายน้ำในทะเลสาบอันใหญ่ อีกทั้งแถวนี้คนพลุกหล่านอีกด้วยค่ะ เลยต้องเดินลัดเลาะๆ ไปหาที่เงียบๆ คนน้อยๆ กางเต็นท์ จากนั้นก็แน่นอนค่ะ รีบหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วกระโดดลงน้ำเลย น้ำใสมากๆ ใสจนเห็นรูขุมขนเลยค่ะ ทั้งน้ำยังเย็นมากๆ อีกด้วย เย็นจนชาจนแสบเลยค่ะ เลยเล่นน้ำนานไม่ได้ พยายามจะอยู่ให้นานๆ แต่มันแสบมากขึ้น ก็เลยต้องรีบขึ้นค่ะ แสบแบบที่ผิวนี่เป็นผื่นแดงเล็กๆ เต็มไปหมดเลยค่ะ แต่พอขึ้นจากน้ำแล้วก็อุ่นขึ้นมาทันที เพราะนี่ประมาณบ่ายสามค่ะ แดดยังแรงอยู่ เลยทำให้ตากเสื้อผ้าแค่ชั่วโมงเดียวก็แห้งสนิทแล้วค่ะ ส่วนครั้งอื่นๆ นั้นหยกก็ยังลงเล่นน้ำอยู่นะคะ แต่น่าจะอยู่ในน้ำไม่เกิน 30 วินาทีเอง 55+ ถึงแม้จะลงน้ำแค่แปปเดียวแต่ก็สดชื่นและสบายตัวสุดๆ นะคะ

Day 3-5: พักผ่อนสุดฤทธิ์ เล่นน้ำสุดชิวที่ Alaudin Lake (2,700 m)

อย่างที่บอกว่าเทรคนี้เป็นเทรคสุดท้าย เป็นเทรคบอกลาเอเชียกลาง จากแพลนเดิมของวันนี้ที่หยกจะต้องไป Mutnyi ซึ่งก็เดินไม่ยากมาก เดินสั้นๆ แค่ 2 – 3 ชั่วโมง แล้วก็ค้างที่นั่น 2 คืน แล้วเดินกลับมาที่นี่ค้างต่ออีก 1 คืน แล้วก็เดินกลับไปยัง Artuch แต่เดินคนละเส้นกับวันที่เดินมา ซึ่งก็เดินวนเป็นลูป ตามชื่อ The Lakes Loop Trek เลยค่ะ ซึ่งพอสอบถามคุณไกด์สุดหล่อ ก็ได้ความมาว่า Mutnyi Lake นั้นน้ำไม่สวย ไม่ใส เท่า Alaudin Lake จึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่ออีก 3 คืนก่อนเดินกลับ เพื่อขอจบทริปแบบเพลินๆ ชิวๆ สบายๆ พักผ่อนแบบเต็มที่ และอิ่มเอมสุดๆ กับมัลดีฟส์ทาจิกิสถานแห่งนี้

เช้านี้เลยชิวที่สุด ไม่ต้องตื่นเช้ามาก ไม่ต้องรีบทำอาหาร ไม่ต้องเก็บเต็นท์ แพ็คกระเป๋า ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ ชิวๆ เดินเพลินๆ ชมทะเลสาบก่อน แล้วค่อยเริ่มทำอาหารเช้าแบบสบายๆ เรื่อยๆ เริ่มด้วยการจิบกาแฟริมทะเลสาบ โอ๊ยสุดจะฟิน อยากจะชิวแบบนี้มานานแล้วค่ะ (จริงๆ หยกชอบและอยากมากๆ เลยกับการที่เทรคสัก 10 วัน ทั้งๆ ที่เส้นทางนี้บอกไว้ว่าเทรค 5 วันไรงี้ค่ะ จะได้มีเวลาชิวๆ พักผ่อนและอิ่มเอมกับบรรยากาศให้เต็มที่ ไม่ต้องรีบเร่งกิน เก็บเต็นท์ แพ็คกระเป๋าทุกเช้า) แล้วค่อยละเลียดทำอาหารเช้า ในเวลาที่สายแล้ว

พอตกบ่ายแก่ๆ ก็ลงเล่นน้ำ ทั้งยังแช่น้ำได้นานขึ้นด้วยค่ะ เพราะมีแสงแดดช่วย แต่หากเมฆหนามาบังแสงอาทิตย์เมื่อไหร่ กรีดร้องหนาวจนแสบ รีบขึ้นจากน้ำแทบไม่ทันเลยค่ะ 55+ กิจวัตรประจำวันก็เป็นประมาณนี้ค่ะ สบายๆ มีเดินเล่นลัดเลาะเลียบไปตามริมทะเลสาบ เดินเล่นในป่าแถวๆ นั้นด้วยนะคะ ชอบมาก ไม่อยากจะกลับเลยค่ะ

หยกนี่ลงเล่นน้ำอย่างน้อยวันละ 2 รอบเลยค่ะ ที่สำคัญและดีมากๆ คือแดดที่นี่แรงมากค่ะ ตากเสื้อผ้าแค่ชั่วโมงเดียวก็แห้งสนิทแล้ว อย่าลืมไปเก็บผ้านะคะ เพราะหากตากไว้นานอาจจะแห้งจนกรอบได้

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 6: Alaudin Lake (2,700 m) – Lauddin Pass (3,650 m) – Kulaikalon Lake (2,860 m) – Artuch (2,200 m) | 7 ชั่วโมง




วันนี้จะต้องเดินข้ามอีกพาสคือ Lauddin Pass ค่ะ ซึ่งจะไปโผล่ที่ Kulaikalon Lake ที่ค้างคืนไปเมื่อคืนแรก แต่วันนี้เราจะไม่ค้างนะคะ เราจะเดินลงยาวไปทีเดียวจนถึง Artuch เลยค่ะ ซึ่งทางเดินข้าม Lauddin Pass นั้นก็ไม่ได้ยาก ไม่ได้น่าหวาดเสียวอะไร แค่ต้องไต่ระดับความชันที่สูงขึ้นๆ แข่งขันกับปริมาณออกซิเจนที่เบาบางลง เลยเหนื่อยหอบง่ายขึ้นค่ะ


จุดเริ่มเดินเพื่อมุ่งหน้าไปยัง Lauddin Pass นั้นต้องเดินผ่าน alpager ค่ะ ซึ่งเป็นจุดรวมนักปีนเขา ที่มีที่พักและอาหารให้บริการห่างจาก Alaudin Lake ประมาณ 10-15 นาทีค่ะ เทรคเกอร์จะเข้าพักก็ได้นะคะ ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักปีนเขาเท่านั้น ซึ่งจากนี้ไปทางเดินจะชันขึ้นๆ เป็นทางเดินกลางแจ้งตลอดทางค่ะ



จากนั้นก็จะให้ได้พักความเหนื่อยหอบด้วยทางบนสันเขากว้างๆ ที่ค่อยๆ ชันขึ้นแบบไม่รู้ตัว เลยเดินได้สบายค่ะ ช่วงนี้ดื่มน้ำเยอะ เก็บพลังงานไว้นะคะ เพราะจากนี้ไปชันขึ้นยาวไปเรื่อยๆ เลยค่ะ หยกนี่เดินๆ หยุดๆ อยู่ทุก 20 – 30 ก้าวเลย คือหอบมากๆ ทั้งร้อนสุดๆ อีกด้วยค่ะ เพราะลมไม่มีเลย ทั้งยังเดินกลางแจ้ง แดดเปรี้ยงๆ ค่ะ แต่แล้วก็ถึงจุดบนสุด เย้ๆๆ อุตส่าห์ดีใจ แต่ยังค่ะ เพราะนี่ยังไม่ใช่ Lauddin Pass ค่ะ แต่ก็ไม่เสียใจ ถึงแม้จะหลงดีใจไปแล้วก็ตาม เพราะทางเดินต่อจากนี้ไปง่ายและชิวมาก ยาวไปๆ จนถึง Lauddin Pass ของจริงค่ะ ซึ่งบนนี้ทั้งลมแรง ทั้งหนาวมากๆ เลยรีบนั่งพักหลบลมหลังก้อนหินใหญ่ๆ แล้วทานอาหารเที่ยงเติมพลังสักหน่อย ไอ้เจ้าทางชันๆ ที่ไต่ขึ้นมานั้นเล่นซะใช้พลังงานจนเกลี้ยงเลยค่ะ รีบกินรีบเดินต่อ อากาศเย็นมากขึ้น เพราะลมแรงมากๆ ค่ะ


จากนี้ไปก็เดินลงยาวไปเลยค่ะ ยาวจาก Lauddin Pass ที่สูง 3,650 เมตร ลงไปจนถึง Kulaikalon Lake ที่สูง 2,860 เมตร เล่นเอาหัวเข่านี่ระบมสุดๆ แต่ดันสดชื่นขึ้นนะคะ เพราะปริมาณออกซิเจนที่มากขึ้นๆ พอถึง Kulaikalon Lake ก็พักทานขนมเติมพลังอีกรอบ ก่อนลงยาวไปจนถึง Artuch โดยเดินลงทางเดิมกับวันแรกที่เดินขึ้นมาค่ะ
ซึ่งคืนนี้ก็จะต้องนอนค้างที่ Artuch หนึ่งคืน ก่อนเดินทางกลับเข้า Penjikan ในวันพรุ่งนี้ค่ะ คืนนี้เลยได้นอนกางเต็นท์ที่สวนริมลำธารของบ้านคุณไกด์ค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สวยมากๆ จนอยากไปเที่ยวมัลดีฟส์ทาจิกิสถานกันแล้วใช่ไหมล่ะ ทั้งนี้หากใครไม่ชอบเดินเทรคก็สามารถไปชิวๆ ที่ Alaudin Lake ได้ง่ายๆ เช่นกันค่ะ เพราะมีรถเข้าไปจนถึง Alaudin Lake เลยนะคะ

หากเพื่อนๆ กำลังมองหาเทรคกิ้งหลายๆ วันในทาจิกิสถาน หยกก็มีเส้นทาง Grum Grijamilo Glacier Trek มาแนะนำค่ะ ที่เดิน 4 วัน 3 คืน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สมบูรณ์สุดๆ คนยังเข้าถึงได้น้อย และสวยมากๆ ค่ะ นอกจากนั้น หยกยังมีอีก day hike ในประเทศทาจิกิสถานมาแนะนำค่ะ ที่เดินสั้นๆ แต่ได้บรรยากาศสวยๆ ภูเขาหลากสีเต็มๆ โดยต้องข้ามพาสที่อยู่สูงถึง 4,750 เมตร (ซึ่งก็เท่ากับจุดสูงสุดของเทรคนี้แหละค่ะ) ไฮกิ้ง Pshart Valley หรือ จะเป็นการไฮกิ้งแบบท้าทายๆ หวาดเสียวหน่อยๆ ที่ Darshai Gorge ค่ะ ไม่งั้นก็เลือกแบบเดินชิวๆ 2 วัน 1 คืนที่ Jizew เพื่อการพักผ่อนแบบเต็มที่ นอนสบายๆ ในโฮมสเตย์ริมทะเลสาบสีฟ้าสวย จนแบบว่าขออยู่ต่อเลยได้ไหม โดยอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์เหล่านี้เลยนะคะ
ไม่เพียงเท่านั้น หยกยังได้ประสบการณ์แห่งความอาหารเป็นพิษมา ทั้งยังเป็นการท้องเสียครั้งแรกและทรมานสุดๆ ต่อเนื่องกันถึง 3 วัน 5 วัน เลยนำวิธีการป้องกันและรับมือมาฝากค่ะ โปรดรอติดตามเรื่องราวสนุกๆ และสถานที่สวยๆ ในทาจิกิสถานด้วยนะคะ
คอมเม้นต์พูดคุยทักทายสอบถามแนะนำติชมหรือแบ่งปันเรื่องราวที่ช่องคอมเม้นต์ด้านล่างได้เลยนะคะ

รบกวนสอบถามครับพี่
1. ราคาทริป lake loop trek Fann Mt. ครับพี่
2. มีเวลาไปกลับรวม 6 วันไปได้มั้ยครับ
3. ค่าเครื่องบินไปกลับราวๆเท่าไรครับ
4. ไปช่วงเดือนไหนสวยครับ
ขอบคุณมากครับ
โจ
สวัสดีค่ะ คุณโจ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂
1. ตอนนี้พี่ยังไม่มีจัดทริปไปเทรคที่ Fann Mountains เลยจ๊ะ แต่หากมีกลุ่มเพื่อนๆ อยากไปกัน พี่จัดทริปส่วนตัวพาไปได้นะจ๊ะ ติดต่อพี่ส่วนตัวที่อีเมลนี้มาได้เลยจ๊ะ
2. เส้นทางนี้เดินแค่สั้นๆ และไม่กี่วันเองจ๊ะ 6 วันนี้สบาย ได้มีวันพักผ่อนเล่นน้ำริมทะเลสาบเพลินๆ ชิวๆ ด้วย
3. ค่าเครื่องนี้มีราคาแปรปรวน ขึ้นกับสายการบินที่เลือกและช่วงเวลาที่ไป หากอยากประหยัด แต่มีเวลาก็ต่อเครื่องมากหน่อย ใช้เวลาเดินทางมากหน่อย ก็ราคาถูกลงจ๊ะ
4. หากจะไปเทรคบน The Lake Loop ใน Fann Mountains แนะนำให้ไปช่วงเดือนมิ.ย. – ส.ค. นะจ๊ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะจ๊ะ
ปล. พี่เอาเบอร์โทรออกนะ เกรงว่าจะโดนสแปมจากผู้ไม่หวังดีที่สามารถมาได้จากทั่วโลกเลยจ๊ะ