
หากมาเที่ยวที่ทาจิกิสถานแล้ว กิจกรรมการเทรคกิ้งนั้นเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยค่ะ ก็ด้วยความที่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของภูมิประเทศนั้นเป็นภูเขาล้วนๆ การเทรคกิ้งจึงเหมาะเหม่งเป็นที่สุด ทั้งธรรมชาติยังสวยงามและบริสุทธิ์อยู่อย่างมากๆ ก็ด้วยการเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของแต่ละเส้นทางเพื่อทำการเทรคกิ้งนั้นค่อนข้างจะยาก ไม่สามารถทำการติดต่อและวางแผนล่วงหน้าได้แบบจริงจัง เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และยังอยู่ไกลจากเมืองมากๆ หากจะทำได้คือไปตายเอาดาบหน้า หาไกด์หาลูกหาบเอาที่นู้นเลยค่ะ หากโชคดีก็ได้ในวันถัดไป หากไม่ก็อาจจะต้องรอ 1 – 2 วัน หรือนานกว่านั้น นอกจากนี้ ที่หมูบ้าน Pasor ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินบนเส้นทางมหัศจรรย์ที่หยกกำลังพูดถึงอยู่นี้ Grum Grijamilo Glacier Trek ยังมีโฮสเตย์เพียงแค่ที่เดียวเท่านั้นอีกด้วยนะคะ

เส้นทาง Grum Grijamilo Glacier Trek เป็นเส้นทางเดินที่มีชื่อเสียงและฮิตมากๆ แต่ด้วยความยากในการเข้าถึง ทั้งการเดินทางและการติดต่อ เลยทำให้มีจำนวนเทรคเกอร์มาเดินที่น้อยมากอยู่ ซึ่งปีนี้กลุ่มหยกที่มาเดินนั้นเป็นกลุ่มที่สองของปีค่ะ (หยกมาเดินช่วงกรกฎาคม) ส่วนปีที่แล้วจนถึงปีนี้มีแค่เพียง 5 กลุ่มเท่านั้นเองที่มาเดินบนเส้นทางนี้ ทั้งยังเป็นกลุ่มเล็กๆ อีกด้วย เลยทำให้เส้นทางนี้มีเสน่ห์ที่งดงามน่าสัมผัสในแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลยนะคะ นอกจากจะเดินสนุก บรรยากาศเพลิดเพลิน ทั้งอินและฟินเป็นที่สุดแล้ว ลักษณะเส้นทางเดินและทัศนียภาพที่เห็นยังหลากรสมากๆ อีกด้วย ทั้งการเดินริมผาบนทางเดินหิน ยังมีการเดินข้ามแม่น้ำ การเห็นความงามอันกว้างไกลของภูเขาหลากสีและภูเขาหิมะ การใกล้ชิดและเล่นน้ำ(อันแสนเย็น)ในทะเลสาบสีฟ้าเข้มขุ่น แต่น้ำใสสุดๆ หรือจะเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกตที่น้ำก็ใสมากๆ เช่นกัน ทั้งยังมีสวนดอกไม้หลากสีที่สวยสุดๆ ท่ามกลางภูเขาที่ดูแห้งแล้งและภูเขาหิมะ ให้ได้นอนพักในสวนสวยนั้น ชิวๆ ทานขนมเพลินๆ พูดแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น อยากจะไปเดินอีกเลยค่ะ ว่าแล้วก็ไปชมเรื่องเล่าประสบการณ์กับภาพบรรยากาศงามๆ กันดีกว่า

การเทรคกิ้งบนเส้นทาง Grum Grijamilo Glacier Trek ใช้เวลา 4 วัน 3 คืนนะคะ โดยที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ จะต้องนำเต็นท์ อุปกรณ์การนอน อาหาร และอุปกรณ์ทำอาหารไปเองตลอดเทรค ทั้งความสูงยังเริ่มตั้งแต่ประมาณ 2,994 เมตร ไปจนถึง 4,750 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางนี้ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันแล้ว จึงทำให้การเทรคกิ้งบนเส้นทางนี้ ดูยากเข้าไปอีก แต่นี้ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจของกิจกรรมการเทรคกิ้งที่แท้ทรู

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 1: Pasor (2994 m) – จุดกางเต็นท์ (3800 m) | ระยะทาง 18.8 km ใช้เวลา 6.5 ชั่วโมง



ถึงแม้วันนี้จะต้องเดินไต่ระดับกว่า 800 เมตร แต่ทางเดินก็เดินไม่ยาก ทางค่อยๆ ลาดชันยาวไปเรื่อยๆ วันนี้เลยต้องเดินนานหน่อย มากถึง 18.8 กิโลเมตรเลยทีเดียว อาจมีบางช่วงที่ชันมากหน่อย แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ ทั้งยังเดินเลียบไปตามแม่น้ำ จึงมีเสียงน้ำให้กระชุ่มกระชวยอยู่ตลอดเวลา ทางเดินเป็นทางเดินกลางแจ้ง ไม่มีร่มเงา แต่การออกเดินตั้งแต่เช้านั้นทำให้แดดอยู่ด้านหลัง นอกจากแดดจะไม่ส่องหน้า ไม่แสบตา และไม่รู้สึกว่าร้อนมากแล้ว วิวที่เห็นด้านหน้าที่สวยอยู่แล้วยังสวยมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าเดินเพลินจนลืมหันหลังกลับไปมองวิวที่ด้านหลัง ที่ถึงแม้จะย้อนแสง แต่ก็สวยไม่แพ้กันเลยนะคะ ทั้งยังได้แอบหยุดพักเหนื่อยอีกด้วย


เดินไปได้สักพักเกือบๆ ครึ่งทาง คือประมาณ 9.1 กิโลเมตร (หยกเดินมาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาทีถึงจะเจอจุดนี้ค่ะ ซึ่งบริเวณนี้สูงประมาณ 3400 เมตร) ก็จะเจอร่มเงาแรกทางด้านขวามือที่ด้านล่าง ทั้งยังอยู่ริมน้ำ เหมาะสำหรับพักเหนื่อย ทานขนมเติมพลัง และเติมน้ำอีกด้วย




หมายเหตุ
เดินได้สองทาง ทางสูงที่ได้เห็นวิวสวยๆ กับ ทางด้านล่างที่เดินเลียบไปกับแม่น้ำ



บริเวณที่จะเป็นจุดกางเต็นท์ของคืนแรกนั้นจะสังเกตได้โดยมองเห็นทะเลสาบสีฟ้าสวยๆ 3 ทะเลสาบ 3 ขนาด ตั้งแต่ไกลๆ เลยค่ะ โดยที่ใกล้ๆ กันนี้จะมีบ้านคนที่ทำจากหินอาศัยอยู่ด้วยนะคะ ซึ่งครอบครัวนี้เป็นญาติกันกับโฮมสเตย์ที่ Pasor ซึ่งแนะนำให้ไปหาจุดกางเต็นท์ริมทะเลสาบค่ะ โดยจะเป็นพื้นหินที่ค่อนข้างราบ ส่วนบริเวณอื่นๆ นั้นพื้นไม่ราบเลยค่ะ ทั้งตะปุ่มตะป่ำและลาดเอียง





ทะเลสาบสีฟ้าสวยใสมากๆ จนอยากที่จะเล่นน้ำเลยค่ะ หากมาถึงช่วงบ่ายๆ ที่ยังมีแดดอยู่ (เช่น ก่อนบ่ายสี่) ลองกระโดดลงเล่นน้ำในทะเลสาบดูนะคะ ถึงจะเย็นมากๆ แต่ก็จะสดชื่นมากเช่นกันค่ะ ทั้งขณะที่แดดยังแรงอยู่นั้น จะช่วยให้อุ่นขึ้นเร็วเชียวค่ะ
Day 2: จุดกางเต็นท์ (3800 m) – Khafrazdara Lake (4050 m) | ระยะทาง 9.9 km ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 15 นาที


ทางเดินวันนี้จะมีทัศนียภาพที่สวยงามมากๆ ด้วยความที่ต้องไต่ระดับสูงขึ้นไปอีกประมาณ 250 เมตร ซึ่งทางเดินนั้นเดินไม่ยากค่ะ แต่ก็มีทางลาดชันช่วงสั้นๆ อยู่เรื่อยๆ ให้ได้ไต่ระดับสูงขึ้นๆ จนเหนื่อยหอบกันไปข้าง แต่ยิ่งสูง วิวเบื้องล่างก็ยิ่งสวย สวยจนต้องร้อง “ว้าว” และหยุดชมวิวอยู่บ่อยไป แทบจะตลอดทางเลยค่ะ ซึ่งถือเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว เลยเดินได้อย่างสบายๆ




ทางเดินนั้นเดินสนุกค่ะ มีทั้งทางเดินที่เป็นหินก้อนใหญ่ๆ ให้กระโดดก้าวไปมา หรือจะเป็นทางเดินหินมากมายที่ต้องตั้งใจเดิน ไม่เช่นนั้นอาจข้อเท้าพลิกหรือแพลงได้ง่ายๆ โดยที่ระหว่างทางนั้นมีสัญลักษณ์บอกทางเป็น หินเรียงๆ กันสูงๆ ให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ เมื่อพ้นผ่านทางเดินหินแล้ว ก็จะเข้าสู่การเดินริมทะเลสาบอันสวยงามนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เหมาะจะเป็นที่ค้างคืน ลานกางเต็นท์ของค่ำคืนนี้ ซึ่งจะเลยตัวทะเลสาบไปสักหน่อย จะไม่ได้แค้มป์ติดทะเลสาบเหมือนคืนก่อนนะคะ แต่ก็ยังได้แค้มป์ติดแหล่งน้ำเช่นเคยค่ะ ซึ่งแน่นนอนค่ะว่าน้ำนั้นเย็นมากๆ ก็ตอนนี้เราอยู่สูงกว่า 4,050 เมตรเลยเชียว พอแดดหมดอากาศก็จะหนาวเย็นมากๆ ทั้งลมก็แรงด้วยค่ะ จึงไม่วายรีบลงอาบน้ำตั้งแต่ตอนยังมีแดด (ประมาณบ่ายสอง หลังทานอาหารเที่ยงและกางเต็นท์เสร็จ) ซึ่งแน่นอนว่าน้ำเย็นมากๆ แต่แดดก็แรงมากๆ เช่นกัน แต่พอขึ้นจากน้ำก็อุ่น(อากาศนั้นอุ่นกว่าน้ำค่ะ)และสบายตัวขึ้นมาทันทีค่ะ ที่สำคัญคือตากเสื้อผ้าแห้งทันก่อนแดดหมดอีกด้วย



เป็นที่รู้กันว่าถ้าแค้มป์ในที่สูงๆ ที่อากาศหนาวๆ จะต้องรีบชิงทำอาหารเย็นก่อนที่แดดจะหมด ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เพราะหลังจากนั้นอากาศจะหนาวเย็นมากๆ ทั้งลมก็จะแรง การทำกับข้าวก็จะยาก การกินก็จะยากเพราะลมแรง จากอาหารจานร้อนๆ ก็จะกลายเป็นต้องทานอาหารที่เย็นชืดอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้หนาวมากยิ่งขึ้น การล้างทำความสะอาดจานชามก็ยิ่งจะลำบาก มือไม้นี่แข็งกันเลยทีเดียวค่ะ



คืนนี้อากาศไม่ได้หนาวมากเท่าไหร่ แต่หยกนอนไม่ค่อยจะหลับ น่าจะเป็นเพราะความสูง แต่ก็ไม่ได้มีอาการปวดหัวหรืออื่นใดให้ต้องกังวล

Day 3: Khafrazdara Lake (4050 m) – high point (4750 m) – Khafrazdara Lake (4050 m) | ระยะทาง 17.8 km ใช้เวลา 7.5 ชั่วโมง

คืนนี้จะยังคงแค้มป์ที่เดิม โดยจะทำการ day hike (เดินแบบไป-กลับภายในหนึ่งวัน) ไปยังจุดที่เรียกว่า high point เพราะสูงกว่า 4,700 เมตร แล้วก็เดินกลับเพื่อมานอนที่เดิม

สิ่งที่ต้องเตรียม
- อุปกรณ์กันลมกันหนาว เช่น ถุงมือ, เสื้อกันลมหรือกันฝน และ หมวกไหมพรม
- ขนมที่ให้พลังงาน, น้ำดื่ม เพราะมีแค่จุดเติมน้ำจุดเดียว และอาหารกลางวัน
จุดยากของวันนี้คือ การที่ต้องเดินข้ามแม่น้ำที่น้ำเชี่ยวแรงไปยังฝั่งตรงกันข้าม (โดยที่ขากลับอาจจะยากกว่าเพราะการที่น้ำขึ้นสูงกว่าในตอนเช้า ทั้งไหลเชี่ยวแรงกว่าอีกด้วย) โดยเริ่มเดินจากบริเวณที่กางเต็นท์อ้อมเขาไปทางด้านซ้ายสักหน่อย ก็จะเจอเทรลให้เดินลงไปยังแม่น้ำ ซึ่งแม่น้ำนี่ยาวมากและกว้างมากเช่นกัน จึงต้องเลือกบริเวณที่คิดว่าน้ำไม่ลึกมากไปกว่าหน้าแข้งหรือหัวเข่าและเชี่ยวน้อยที่สุด

คำแนะนำวิธีการข้ามแม่น้ำ
- ห้ามเดินเท้าเปล่า อาจเสี่ยงต่อการลื่น จนเสียการทรงตัวไหลแล้วไปตามน้ำ, เกิดข้อเท้าพลิกแพลง หรือการบาดเจ็บอื่นใด
- หากสะพายกระเป๋าแบ็คแพ็ค แนะนำให้ปลดสายคาดทั้งที่หน้าอกและสะโพก แล้วเลื่อนสายสะพายให้หลวม กรณีล้มแล้วไหลไปตามน้ำ จะได้ถอดกระเป๋าที่หนัก แล้วเอาตัวรอดทัน
- กรณีมีไม้เท้าเดินป่า (trekking poles; สามารถอ่าน วิธีการเลือกซื้อ, ประโยชน์ และวิธีการใช้งานไม้เท้าเดินป่าได้ที่ลิ้งค์ตรงนี้ค่ะ) ให้หันหน้าไปหาน้ำที่ไหล (ต้านกระแสน้ำ) ก็จะกลายเป็นว่าต้องเดินก้าวไปทางด้านข้าง (อาจจะก้าวซ้ายไปชิดขวา หรือ ขวามาชิดซ้าย ขึ้นกับทิศทางกระแสน้ำ) ส่วนไม้เท้าเดินป่านั้นจะอยู่ข้างหน้า ให้วางไม้เท้าเดินป่าให้มั่นทั้งสองข้าง โดยห่างกันประมาณช่วงบ่า พอตั้งฐานของมือที่จับไม้เท้าเดินป่าได้มั่นแล้ว (ไม่โอนเอียงหรือไหลไปตามกระแสน้ำ) ให้เริ่มก้าวเท้าข้างที่อยู่ใกล้ฝั่งที่จะข้าม วางเท้าข้างนั้นให้มั่น แล้วเลื่อนไม้เท้าเดินป่าทีละข้างไปใกล้ฝั่งที่จะข้าม แล้ววางตั้งให้มั่น จากนั้นก้าวขาอีกข้างแล้ววางให้มั่น ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่ง
- กรณีไม่มีไม้เท้าเดินป่า ให้ควงแขนแบบเท้าสะเอวกับเพื่อนร่วมทริปทุกๆ คนที่ไปด้วยกัน แล้วเดินก้าวเท้าช้าๆ ไปพร้อมๆ กัน ให้มั่นใจว่าทุกคนวางเท้าได้มั่นก่อน ค่อยก้าวเท้าข้างถัดไป ทำเช่นนี้สลับไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่ง ห้ามเร่งรีบ ให้ค่อยๆ ก้าวทีละก้าวพร้อมๆ กันแบบมั่นคง (จะดีมากหากเพื่อนร่วมทริปที่ไปด้วยกันมีไม้เท้าเดินป่าอย่างน้อยหนึ่งคู่ ให้คนแรกและคนสุดท้ายถือ คนละข้าง เพื่อช่วยให้ฐานแข็งแรง)


การข้ามน้ำครั้งนี้เราอาศัยการควงแขนค่ะ สนุกสนานกันเชียว น้ำไม่สูงและเชี่ยวมาก (เท่าขากลับ) รองเท้าที่ว่ากันน้ำ ตอนนี้กลายเป็นน้ำท่วม คือกันได้ดีทั้งไม่ให้น้ำเข้า แต่พอน้ำเข้าก็กันได้ดีมาก เพราะไม่มีที่ให้น้ำออกเช่นกัน เหอๆๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวก็คงแห้ง เพราะแดดแรงสุดๆ ทั้งขากลับก็ต้องเปียกอีกเช่นเคย เพราะต้องข้ามน้ำนี้กลับยังไงล่ะคะ หยกเลยปล่อยๆ ไป เดินทั้งๆ ที่มีน้ำข้างในนั่นแหละ (แต่พอพักใหญ่ๆ ก่อนจะถึงจุดหมายของวันนี้รองเท้ากับถุงเท้าก็แห้งไป 80% เห็นจะได้ค่ะ)

พอข้ามน้ำได้แล้ว ก็จะมีเทรลให้เดินขึ้นไปยังทางเดินที่มีต้นไม้เตี้ยๆ ประมาณข้อเท้า ก็จะเดินสบายบนทางเดินแบบนี้ไปจนสุดทางเลยค่ะ จากนั้นทางเดินก็จะเปลี่ยนไปเป็นเดินบนทางเดินที่เป็นหินมากมาย ที่มีลักษณะเป็นเหมือนช่องแคบ ซึ่งจริงๆ แล้วคือทางน้ำไหลในฤดูที่มีน้ำค่ะ แต่การเดินในทางเดินช่วงนี้นั้นไม่มีวิวใดๆ ให้ดูค่ะ จึงตัดสินใจไต่ภูเขาหินที่อยู่ด้านข้าง(ซ้าย) เพื่อขึ้นไปเดินข้างบน ตอนไต่นี่สนุกเชียวค่ะ หินร่วงหล่นทุกฝีก้าวเลย แต่เดินขึ้นไม่ยากนะคะ เพราะหินมันก้อนใหญ่ๆ ค่ะ ยังไงแล้วก็ไม่ไถลร่วงหล่นไปที่พื้นแน่ อึดๆ ไต่ๆ ขึ้นไปสักพักก็ถึงด้านบนค่ะ ซึ่งวิวสวยมากๆ เห็นทิวทัศน์กว้างไกลสุดๆ รอบทิศ 360 เลยเชียว ซึ่งบนนี้ไม่มีเทรลที่ชัดเจนค่ะ เพราะทุกที่เป็นหินหมด นานๆ จะมองเห็น cairn ที่เป็นการนำหินมาวางเรียงซ้อนๆ กัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์บอกทาง ทีนี้ก็เดินไปเรื่อยๆ ค่ะ โดยพยายามเดินเลียบไปตามทางช่องแคบด้านล่างที่เราควรจะเดิน

บนนี้นอกจากวิวจะสวยมากๆ แล้ว ยังเดินมันส์ เดินสนุกกว่าด้วยค่ะ เดินข้ามเขาไปเรื่อยๆ ขึ้นๆ ลงๆ พยายามหาจุดที่ไปต่อได้ แต่วิวบนนี้นั้นสวยตลาดทางเลยนะคะ (ซึ่งขากลับก็ต้องกลับทางเดิม หยกก็เลือกเดินข้างล่างค่ะ จะได้ถึงเต็นท์ไม่ช้ามาก จะได้ทำอาหารและล้างถ้วยจานตอนที่ยังมีแสงแดดอยู่ ไม่เช่นนั้นจะหนาวมากๆ) จากนั้นก็ถึงจุดสิ้นสุดของด้านบนค่ะ ไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องเดินลงอย่างเดียว ซึ่งตรงนี้ เราก็เดินลงไปสู่ช่องแคบที่เป็นทางเดินหินที่ที่หากเราเดินมาตามทางด้านล่าง ก็จะมาเจอจุดนี้ค่ะ

จากนั้นให้เดินตามช่องแคบเล็กๆ ข้างหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทางเดินจะเป็นดอกไม้เล็กๆ มากมายหลากสี สักพักก็จะเจอทะเลสาบขนาดย่อม สีฟ้าสวยๆ ที่ยังคงมีดอกไม้มากมายอยู่รอบๆ ทางด้านขวามือ และภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่พื้นหลัง ยิ่งทำให้ทะเลสาบสวยยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบจนสุดทาง แล้วเทรลที่ไม่เหมือนเทรลที่เราจะต้องไปต่อจะอยู่ทางด้านขวามือค่ะ ใช่ค่ะ มันคือกองหินสูงชัน ที่เหมือนว่าหินพึ่งถล่มมาจากไหนก็ไม่รู้แล้วมากองรวมกัน สูงและชันขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่แล้วค่ะ เราต้องเดินบนกองหินเหล่านี้ (ซึ่งที่จริงคือทางน้ำไหลเวลาที่หิมะละลายค่ะ เพราะช่วงหน้าหนาว บริเวณนี้นั้นเต็มไปด้วยหิมะ) ตอนที่ไต่หินพวกนี้นี่เหนื่อยมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากความชันบนที่สูงกว่า 4,400 เมตรแล้ว พื้นที่เดินนั้นก็ไม่เรียบและต้องระมัดระวังในการเดินให้ดี เพราะหากเหยียบไปโดนก้อนที่โครงเครงๆ เอียงๆ อาจทำให้ข้อเท้าพลิกได้ แต่ทั้งนี้หยกชอบเดินบนหินแบบนี้มากค่ะ มันทำให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ แล้ว วิธีการเดินนั้นง่ายมากๆ โดยให้มองหาหินก้อนที่มีพื้นผิวค่อนข้างแบน และแลดูมั่นคง แล้วก็เดินๆ ไปเลย แค่นั้นเองค่ะ พอถึงจุดบนสุดนี่ทั้งลมเย็น ทั้งวิวสวยมากๆ จนเหมาะเป็นจุดทานขนมเติมพลังแกล้มไปกับทัศนียภาพโดยรอบ

แล้วจู่ๆ ทางเดินหินที่ดูแห้งแล้งๆ ก็เปลี่ยนเข้ามาสู่ทางเดินสวนดอกไม้ต้นเตี้ยๆ แค่ประมาณข้อเท้า แต่หลากสีสันและชนิดสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม เหลือง ม่วง และแดง ไหนจะมีสีเขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้มของสีใบของแต่ละต้นที่ต่างเฉดกัน ยิ่งชะลอการเดินอย่างมาก คือหยุดแต่ละทีก็นานมาก อ่อ บริเวณนี้จะมีแหล่งน้ำให้เติมน้ำนะคะที่แรกและที่เดียวของ day hike วันนี้นะคะ ก่อนที่จะเดินขึ้นเนินไปยังสวนดอกไม้ที่กว้างไกลสุดๆ กินพื้นที่เขาไปหลายลูก(หลายเนิน)เลยค่ะ ทั้งสีสันและชนิดของดอกไม้ก็แตกต่างกันไป เลยทำให้ต้องหยุดแทบจะทุก 10 ก้าวเลยค่ะ ซึ่งสีสันเหล่านี้ช่างสวยงามและตัดกับสีท้องฟ้าสวยเข้มกับหิมะสีขาวที่ปกคลุมยอดภูเขาหลากลูก หยกนี่เพลินสุดๆ นอนชิวท่ามกลางดอกไม้อยู่นาน จนเพื่อนๆ เป็นห่วง เดินตามหากันให้วุ่น 55+

แต่หลังจากเพลินๆ กับดอกไม้ได้สักพัก ทางเดินก็เปลี่ยนเข้าสู่ทางเดินหินมากมายอีกแล้วค่ะ ที่มีทั้งชันขึ้น ลาดลง เและเดินทางราบ คือตอนนี้เราก็อยู่สูงขึ้นๆ ปริมาณออกซิเจนมันก็น้อยลง เดินที่ชันๆ ได้แค่ 5 ก้าว 10 ก้าว ก็หอบแฮ่กๆ แล้วค่ะ แนะนำให้ค่อยๆ เดิน จิบน้ำบ่อยๆ และหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ นะคะ เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ฟินกับทิวทัศน์ที่สวยงามรอบทิศที่อยู่รอบตัวเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นวิวด้านหลัง(ทางที่เดินมา)กับสีเขียวขจี กับวิวรอบข้างที่เป็นภูเขาหัวโล้น และเขาที่มีหิมะสีขาวเนียนปกคลุม (อย่ามองหิมะด้วยตาเปล่านะคะ อันตรายต่อดวงตาค่ะ สามารถเกิด snow blindness หรือที่รู้จักกันว่า ภาวะตาบอด(ชั่วคราว)จากหิมะ) ไหนจะทะเลสาบสีฟ้าสด ที่มองเห็นอยู่ไกลลิบๆ กับท้องฟ้าสีฟ้าเข้มสวย ทำให้มีแรงฮึดไปต่อค่ะ

เดินบนหินชันๆ มาเรื่อยๆ พอช่วงที่ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง ทางเดินก็เริ่มชันน้อยลงค่ะ ถึงแม้สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือ หิมะที่หนา และขาวโพนไปหมด และลมที่แรง แต่เนื่องจากหยกมาถึงตอนเที่ยงวันพอดี กลางแจ้งบนที่สูงแบบนี้ แดดเลยแรงสุดๆ ทำให้ไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น ที่นี่จึงเป็นจุดนั่งพักทานอาหารกลางวันที่เหมาะเหม่ง และชมสิ่งมหัศจรรย์ความงามที่ธรรมชาติสร้าง คือคุ้มค่าการเดินมาเป็นที่สุดค่ะ

อย่างที่บอกว่าขากลับนั้น หยกเลือกที่จะเดินด้านล่าง เพื่อที่จะได้กลับไปถึงเต็นท์เร็วๆ จะได้รีบทำอาหารทานก่อนแดดจะหมด และก่อนที่อากาศหนาวเย็นสุดๆ จึงเดินยาวไปๆ รวดเดียวไม่หยุดพักค่ะ จะพักก็แค่ตอนหยุดจิบน้ำเท่านั้น ซึ่งเดินไม่นานก็ถึงค่ะ แต่ขากลับก็ยังต้องข้ามน้ำอยู่ดี ซึ่งตอนนี้ระดับของน้ำสูงขึ้นมากนิดนึงและยังคงเชี่ยวเหมือนเดิมค่ะ ก็ค่อยๆ ข้าม ใช้ไม้เท้าเดินป่าช่วยค้ำเดิน เปียกไม่กลัว กลัวไม่ปลอดภัยซะมากกว่า แล้วก็ถึงเต็นท์ตอนประมาณ 15.30 น. ซึ่งแดดจัด เลยมีเวลาตากรองเท้าและถุงเท้าที่เปียกโชก ซึ่งก็เกือบแห้งสนิทนะคะ มีรองเท้าที่ยังชื้นๆ อยู่

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 4: Khafrazdara Lake (4050 m) – Pasor (2294 m) / ระยะทาง 26.7 km ใช้เวลา 7.5 ชั่วโมง


เมื่อคืนอากาศหนาวมากๆ ค่ะ หนาวกว่าคืนแรกซะอีก ก็เลยไม่แปลกใจที่ตื่นมาแล้วพบว่าน้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปเลยค่ะ ยิ่งบริเวณที่ตื้นๆ นะ ไปยืนได้เลยค่ะ แค่แอบลื่นเฉยๆ ส่วนน้ำกินในขวดที่เติมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก็มีที่กลายเป็นน้ำแข็งด้วยค่ะ คิดดูแล้วกันว่าเมื่อคืนจะหนาวขนาดไหน แต่ก็ไม่อยากจะบอกว่าหลับสบายค่ะ น่าจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินเมื่อวาน อาจจะมีแค่ตื่นมากระชับถุงนอนแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง


วันนี้ค่อนข้างโหดค่ะ ต้องเดินกลับทางเดิมที่เราเดินมาในวันที่ 1 และ 2 รวดเดียวไปยังหมู่บ้านที่ชื่อ Pasor วันนี้จะเป็นวันที่ยาวนาน ที่เหนื่อยเอาการ หยกเลยตัดสินใจเก็บกล้องใส่ในกระเป๋าค่ะ เพื่อที่จะได้ไม่หยุดถ่ายรูป เพราะก็เป็นวิวที่เห็นมาแล้วไง ไม่งั้น เดินถึงตอนแดดหมดแน่ๆ อีกทั้งมันเป็นการเดินลงไปยังที่ต่ำกว่า เลยรีบเดินได้ หากใครมีเวลาและต้องการเดิน 2 วันก็ทำได้เช่นกันนะคะ แต่เมื่อพวกหยกเลือกที่จะเดินกลับภายในวันเดียว หากจะหยุดพักนานๆ ก็จะมีเวลาพักที่โฮมสเตย์น้อย เลยลงรวดเดียวค่ะ พักแค่ตอนทานน้ำ เติมน้ำ ทานขนมเติมพลังเท่านั้น


วันนี้เดินโหด 26.7 กิโลเมตร หยกเดินไป 7.5 ชั่วโมงค่ะ โดยวันนี้หยกออกเดินเช้า เลยถึงตอนประมาณบ่าย 3 นิดๆ ซึ่งดีมากๆ เพราะมีเวลาอาบน้ำแบบจริงๆ หลังจากแค่แช่(ครึ่ง)ตัวในทะเลสาบอันเย็นเจี๊ยบแค่ไม่กี่วินาที ก่อนที่อากาศจะเย็นจนลำบากและทรมานหากต้องการที่จะอาบน้ำ เลยสบายตัว สดชื่น และช่วยให้หายเหนื่อยไปได้เยอะเลยค่ะ ทั้งยังมีเวลาพักชิวๆ อีกหลายชั่วโมงก่อนถึงเวลานอน มันก็ต้องดีกว่าที่มาถึงตอนเย็นที่แดดหมด อาจจะไม่ได้อาบน้ำ ทั้งเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี เลยจะกลายเป็นว่า มาถึง กินข้าว แล้วนอน ไม่ได้มีเวลาพักสบายๆ ผ่อนคลายๆ จิบชาร้อนๆ ทานผลไม้ ขนมจุกจิกๆ สบายใจกว่าเยอะเลยค่ะ

สรุป
- จุดเริ่มเดินอยู่ที่หมู่บ้าน Pasor
- ใช้เวลาเดินทั้งหมด 4 วัน 3 คืน
- ระยะทางรวม 73.2 km
- ค่าคุณลา+คุณพี่คุมลา แบกของ วันละ $25 ต่อวัน น้ำหนักไม่เกิน 50 kg ไม่รวมทิป
- ฤดูท่องเที่ยวสำหรับการเทรคกิ้ง กรกฎาคม-กันยายน
- จุดต่ำสุด 2,294 เมตร
- จุดสูงสุด 4,750 เมตร

หากเพื่อนๆ กำลังมองหาเทรคกิ้งหลายๆ วันในทาจิกิสถาน หยกก็มีเส้นทาง Grum Grijamilo Glacier Trek มาแนะนำค่ะ ที่เดิน 4 วัน 3 คืน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สมบูรณ์สุดๆ คนยังเข้าถึงได้น้อย และสวยมากๆ หรือจะเป็นเทรคกิ้งใน Fann Mountains สถานที่ฮิตที่ใครๆ ก็รู้จัก สวย เดินสบายๆ แถมยังมีทะเลสาบที่สวยมากๆ จนได้รับฉายาว่า “มัลดีฟส์ทาจิกิสถาน” เลยค่ะ นอกจากนั้น หยกยังมีอีก day hike ในประเทศทาจิกิสถานมาแนะนำค่ะ ที่เดินสั้นๆ แต่ได้บรรยากาศสวยๆ ภูเขาหลากสีเต็มๆ โดยต้องข้ามพาสที่อยู่สูงถึง 4,750 เมตร (ซึ่งก็เท่ากับจุดสูงสุดของเทรคนี้แหละค่ะ) ไฮกิ้ง Pshart Valley หรือ จะเป็นการไฮกิ้งแบบท้าทายๆ หวาดเสียวหน่อยๆ ที่ Darshai Gorge ค่ะ ไม่งั้นก็เลือกแบบเดินชิวๆ 2 วัน 1 คืนที่ Jizew เพื่อการพักผ่อนแบบเต็มที่ นอนสบายๆ ในโฮมสเตย์ริมทะเลสาบสีฟ้าสวย จนแบบว่าขออยู่ต่อเลยได้ไหม โดยอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์เหล่านี้เลยนะคะ
ไม่เพียงเท่านั้น หยกยังได้ ประสบการณ์แห่งความอาหารเป็นพิษมา ทั้งยังเป็นการท้องเสียครั้งแรกและทรมานสุดๆ ต่อเนื่องกันถึง 3 วัน 5 วัน เลยนำวิธีการป้องกันและรับมือมาฝากค่ะ โปรดรอติดตามเรื่องราวสนุกๆ และสถานที่สวยๆ ในทาจิกิสถานด้วยนะคะ
คอมเม้นต์เข้ามาพูดคุย ทักทาย สอบถาม หรือ แนะนำติชม ที่ด้านล่างเข้ามาได้เลยนะคะ ยินดีมากๆ ค่ะ
มีข้อสงสัย คำถาม หรือ อยากแชร์เรื่องเที่ยว คอมเม้นต์ที่ช่องนี้ได้เลยค่ะ