
การแค้มปิ้งในทะเลทราย Joshua Tree National Park อเมริกา กำลังจะเริ่มขึ้น ทะเลทรายที่มีสีสันสดใส๊สดใส ที่ไม่ได้มีแต่ทราย ที่ไม่ได้มีแต่ความร้อน ที่พระอาทิตย์ตกดินหลากสียังกับสีรุ้ง และทำให้ท้องฟ้าส้มแดงทั้งฟ้า ที่กลางคืนมีดาวเยอะและสวยมาก ที่ได้ปีนก้อนหิน และกลายเป็นเด็กซนๆ อีกครั้ง การแค้มปิ้งที่นี่ไม่ธรรมดา จะเป็นแบบไหน ไปแค้มปิ้งพร้อมๆ กันเลยค่ะ

โดยที่บทความนี้จะมีข้อมูล และรายละเอียดแบบยิบๆ ตามหัวข้อด้านล่างนี้เลยค่ะ สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อที่สนใจได้เลยนะคะ

- Joshua Tree National Park อยู่ที่ไหน, มีอะไร และไปทำไม
- จะไปแค้มป์ปิ้ง ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน ใน Joshua Tree National Park ต้องเดินทางไปที่ไหน, เสียค่าใช้จ่ายไหม, เสียเท่าไหร่ และมีทางเข้ากี่ทาง
- ช่วงเวลาที่เหมาะ และกิจกรรม ของการไปแค้มป์ปิ้ง คืออะไร, มีอะไรให้ชม, มีอะไรให้ทำบ้าง และควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน
- ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน ยากหรือเปล่าเนี่ย, ปีนลำบากไหม, หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร, ระยะทางไกลแค่ไหน และ ใช้เวลาเดินนานขนาดไหน
- สิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นจุดกางเต็นท์, ที่พัก, ห้องน้ำ, ห้องอาบน้ำ, ร้านค้า, ร้านอาหาร, น้ำดื่ม, ไฟฟ้า หรือ สัญญาณโทรศัพท์ มีไหม
- ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างการไฮกิ้ง จะทำอย่างไรละเนี่ย
- เรื่องเล่าระหว่างการแค้มป์ปิ้ง, ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน สนุกแค่ไหน, มันส์ยังไง และมีอะไรที่น่าประทับใจ (ต่อ ตอนที่ 2)
- สิ่งที่ต้องเตรียม, ข้อควรรู้, ข้อควรระวัง และ ข้อไม่ควรปฏิบัติ ในการไปแค้มป์ปิ้ง, ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน (ต่อ ตอนที่ 2)

อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี นั้นกว้างใหญ่มาก มีกิจกรรม และความสนุกอยู่มีเพียบด้วยค่ะ ใครที่ชอบการแค้มปิ้ง ปิกนิก ถ่ายรูป หรือ กิจกรรมกลางแจ้งทั้งหลาย จะต้องหลงรักมนต์เสน่ห์ของทะเลทรายแห่งนี้เป็นแน่ ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆในการมาเที่ยวที่ อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี จึงมีเยอะมาก หยกขอแบ่งออกเป็น 2 ตอนนะคะ โดยสามารถเข้าไปอ่าน เรื่องเล่า ฟังประสบการณ์ การแค้มปิ้งในทะเลทราย ตอน 2 รวมทั้งสิ่งที่ต้องเตรียม, ข้อควรรู้, ข้อควรระวัง และ ข้อไม่ควรปฏิบัติ ในการมาแค้มปิ้งในทะเลทรายแห่งนี้ ได้ที่ลิ้งค์ตัวหนังสือสีส้มๆ ตรงนี้ (เดี๋ยวเอามาแปะให้เมื่อโพสต์คลอดนะคะ)
แต่ก่อนอื่น หยกขอแนะนำอีกอุทยานแห่งชาติในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ให้การแค้มปิ้งในอีกอารมณ์ อารมณ์ของการแค้มปิ้งบนเกาะ ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล และภูเขา ที่ Santa Cruz Island (ตอน 1) ใน Channel Islands National Park (ตอน 2) ค่ะ ซึ่งมี 2 ตอนเช่นกัน หยกชอบที่นี่มาก เสียดายที่เสบียงที่ตุนไปหมด ไม่งั้นหยกคงอยู่นานขึ้นแน่นอนค่ะ ทำไมเสบียงหมด เอ๊ะ การแค้มปิ้งที่นี่เป็นแบบไหน คลิ๊กเข้าไปอ่าน ไปผจญภัยไปด้วยกันในลิ้งค์ตัวหนังสือสีส้มๆ ได้เลยค่ะ

พร้อมจะไปดูเสน่ห์ของทะเลทราย Joshua Tree National Park กันหรือยังคะ ปะๆๆ
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
1. Joshua Tree National Park อยู่ที่ไหน, มีอะไร และไปทำไม

Joshua Tree National Park หรือ อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี เป็นอุทยานแห่งชาติที่อยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของ รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America) ค่ะ โดยที่มาของชื่ออุทยานแห่งชาติที่ชื่อ Joshua Tree นั้น มาจากการที่มีต้นไม้ที่ชื่อ Joshua (ต้นโจชัว) อยู่มากมาย และเป็นต้นไม้หลักในอุทยานแห่งชาตินี้ยังไงละคะ
-แล้วทราบไหมคะว่า ต้นโจชัว เหล่านี้มีอายุเท่าไหร่กัน-


ต้นโจชัว มีการเติบโตที่ช้ามากๆ ถึงมากที่สุด โดยเราไม่สามารถนับอายุของ ต้นโจชัว จากเส้นวงปีนะคะ แต่เรานับจากความสูง มีการศึกษาวิจัยว่า ต้นโจชัว นี้โต(สูงขึ้น) 1.5-3 นิ้ว ต่อ 1 ปี และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 150 ปี นั่นก็คือสามารถสูงได้ระหว่าง 6 เมตร จนถึง 12 เมตร เลยทีเดียวค่ะ
-สิ่งมีชีวิตใน ต้นโจชัว-

ต้นโจชัว นี้ ยังเป็นที่อยู่อาศัย ที่ป้องกันภัย และอาหารของสัตว์เล็กๆ หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกหลายชนิด สัตว์จำพวกกระรอก สัตว์เลื้อยคลาน และพวกแมลงทั้งหลายด้วยค่ะ
-ทะเลทราย-
อุทยานแห่งชาติ Joshua Tree นี้ เป็นอุทยานแห่งชาติที่เป็น ทะเลทราย (desert) โดยมีความหลากหลายของต้นไม้, ดอกไม้, สิ่งมีชีวิต, ภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นต้นกระบองเพชรต้นใหญ่ๆ หลายชนิด ที่ออกดอกโตๆ สวยๆ หลายสีสัน, หรือ ดอกไม้ป่าที่มีให้เห็นอยู่ตลอดทาง จนนับพันธุ์ไม่ถ้วน ที่ออกดอกสวยงามละลานตา อย่างน่าอัศจรรย์ใจ และยิ่งน่าแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อมาระลึกได้ว่า ความสวยงามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ เกิดขึ้น ในทะเลทราย มันช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดว่าทะเลทรายควรจะเป็นอย่างสิ้นเชิง ยิ่งทำให้ ทะเลทรายแห่งนี้ น่าสนใจ น่าสำรวจ และ น่าค้นหามากยิ่งขึ้น
-Rock Formation-

ไม่เพียงเท่านั้น ธรรมชาติยังทำให้ อุทยานแห่งชาติ Joshua Tree มีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ รูปร่างหน้าตาแปลกๆ ที่ทับซ้อนกันอยู่มากมาย จนมีลักษณะคล้ายภูเขา เรียกลักษณะก้อนหินเหล่านี้ว่า “Rock Formation” จนทำให้ อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของกิจกรรม climbing (การปีนป่ายก้อนหิน, ปีนเขา หรือ ไต่เขา โดยมีอุปกรณ์) และ scrambling (การปีนป่ายก้อนหิน โดยไม่มีอุปกรณ์)
2. จะไปแค้มป์ปิ้ง ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน ใน Joshua Tree National Park ต้องเดินทางไปที่ไหน, เสียค่าใช้จ่ายไหม, เสียเท่าไหร่ และมีทางเข้ากี่ทาง
2.1) ประตูทางเข้าทั้งหมดที่มี และ เวลาทำการ อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี

Joshua Tree National Park เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ค่ะ มีประตูทางเข้าหลักอยู่ 3 ทาง คือ West Entrance, North Entrance และ South Entrance ค่ะ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมค่าเข้า โดนสามารถชำระเงินที่หน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติก็ได้ หรือ ชำระเงินที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (Visitor Center) ได้เช่นกันค่ะ
Joshua Tree National Park เปิดให้เข้า – ออก 24 ชั่วโมง ทุกวัน ตลอดปีค่ะ หากมาแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่ยังไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติ ก็ไม่ต้องกังวล สามารถเข้าภายในอุทยานแห่งชาติได้เลยค่ะ แล้วค่อยมาชำระวันถัดไป
2.2) ค่าธรรมเนียมเข้าเขตอุทยานแห่งชาติเท่าไหร่ สามารถซื้อตั๋วได้ที่ไหนบ้าง

Joshua Tree National Park มีตั๋วเข้าขายเป็นรายอาทิตย์ “Weekly Pass” ที่มีอายุ 7 วัน (ราคาอยู่ด้านล่างนะคะ) และ บัตรรายปี “Joshua Tree National Park Annual Pass” ราคา $40 สามารถใช้เข้าอุทยานแห่งชาติโจชัวทรีได้ตลอด 1 ปี นอกจากนั้น ยังมี เป็นบัตรอุทยานแห่งชาติทั่วอเมริการายปี “The America the Beautiful-The National Parks and Federal Recreational Lands Annual Pass” ราคา $80 ขายด้วยค่ะ โดยใช้ได้กับอุทยานแห่งชาติทั่วอเมริกาเลย
โดยที่บัตรประเภทต่างๆ 1 ใบนี้ ใช้ได้กับรถ 1 คัน รวมทั้งคนขับรถ และ ผู้โดยสารทุกคนที่อยู่ในรถค่ะ (ไม่ใช่ 1 บัตร ต่อ 1 คน นะคะ)
2.2.1) รายละเอียดราคาของ Weekly Pass
รถยนต์ ต่อคัน $25
รถมอเตอร์ไซค์ หรือ รถจักรยาน ต่อคัน $12
เดินเท้า ต่อคน $12
2.2.2) แสดงตั๋ว หรือ ใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียม หรือ บัตรผ่านรายปี

พวกตั๋ว ใบเสร็จ หรือ บัตรรายปี ต้องทำการเก็บไว้ดีๆ นะคะ เพราะต้องทำการแสดงเอกสารดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อเจ้าหน้าที่ ทั้งขาออกและขาเข้า ทุกครั้งนะคะ เพื่อเป็นการป้องกันการไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียม เนื่องด้วยอุทยานแห่งชาติโจชัวทรีเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่ขายตั๋วไม่ได้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
2.3) ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี
มีให้บริการอยู่ 4 ศูนย์ ค่ะ สามารถเลือกได้ว่าคุณจะเข้าเขต อุทยานแห่งชาติโจชัวทรีทางด้านไหน ใกล้ศูนย์ไหน ก็ไปที่ศูนย์นั้นค่ะ ซึ่งนอกจากนี้แล้ว คุณยังสามารถชำระค่าธรรมเนียมที่ประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ได้ค่ะ หากไม่ได้ต้องการสอบถามข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
แต่หากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวแล้ว แนะนำให้ชำระค่าธรรมเนียมที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ เพื่อที่จะได้โชว์ตั๋ว แล้วเข้าอุทยานแห่งชาติได้เลย ไม่ต้องรอคิวนาน

2.3.1) Joshua Tree Visitor Center
เปิดทำการทุกวัน ตลอดปี เวลา 08.00 น. – 17.00 น. โดยอยู่ห่างจาก ประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ “West Entrance” ประมาณ 8 กิโลเมตร ค่ะ
2.3.2) Oasis Visitor Center
เปิดทำการทุกวัน ตลอดปี เวลา 08.30 น. – 17.00 น. โดยอยู่ห่างจาก ประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ “North Entrance” ประมาณ 6 กิโลเมตร ค่ะ
2.3.3) Cottonwood Visitor Center
เปิดทำการทุกวัน ตลอดปี เวลา 08.30 น. – 16.00 น. โดยอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ฝั่งประตูทางเข้า “South Entrance” ค่ะ
2.3.4) Black Rock Nature Center
เปิดทำการทุกวัน ระหว่างเดือนตุลาคม ถึง พฤษภาคม เท่านั้น เวลาทำการ วันเสาร์ – วันพฤหัสบดี เวลา 08.00 น. – 16.00 น., วันศุกร์ 08.00 น. – 20.00 น. โดยอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติโจชัวทรี ใน Black Rock Campground ค่ะ
3. ช่วงเวลาที่เหมาะ และกิจกรรม ของการไปแค้มป์ปิ้ง คืออะไร, มีอะไรให้ชม, มีอะไรให้ทำบ้าง และควรใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน
3.1) มาเที่ยว Joshua Tree National Park ช่วงไหนดีน้า

Joshua Tree National Park เป็นอุทยานแห่งชาติที่เปิดให้เที่ยวตลอดปีค่ะ แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับว่าคุณชอบทำกิจกรรมประเภทไหน ไฮกิ้ง, ปีนเขา, ดูดาว, ส่องสัตว์, ชมความงาม สีสันของต้นไม้ ดอกไม้ป่า, ถ่ายรูป หรือ มาพักผ่อนชิวๆ
หากชอบพวกไฮกิ้ง และปีนเขา แล้วล่ะก็ ช่วงเดือนมีนาคม ถึง ต้นพฤษภาคม (spring – ฤดใบไม้ผลิ) จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากที่จะมาทำกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่า จะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ เป็นไปได้ ก็หลีกเลี่ยงเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวนะคะ รองลงมา ก็คือช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน (fall – ฤดูใบไม้ร่วง) ค่ะ ด้วยความที่อากาศกำลังเย็นสบาย และไม่ร้อนมาก

หากตั้งใจจะมาเพื่อชมความงามของดอกไม้ป่าที่บานหลากสี ก็ต้องมาช่วงเดือนเมษายนค่ะ น่าจะบานสะพรั่งพอดี หากมาช่วงมีนาคม ดอกไม้น่าจะกำลังทยอยบานค่ะ

หากตั้งใจจะมาดูดาว ก็ต้องมาช่วงเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม (summer – ฤดูร้อน) ค่ะ ซึ่งช่วงนี้ เป็นช่วงของอากาศที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอากาศตอนกลางวันที่ร้อนมาก ร้อนแบบทะลุ 40 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะอากาศที่ร้อนมากๆ แบบที่อันตรายถึงชีวิตเลยค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะคะ หากใครที่จะมาเที่ยวในช่วงนี้ ต้องดื่มน้ำมากๆๆ แนะนำให้ดื่มเกือบ 4 ลิตรต่อวันต่อคนเลยค่ะ แต่หากคุณไปไฮกิ้ง หรือ ปีนเขา แนะนำให้ดื่มน้ำเพิ่มเป็น 2 เท่าตัวเลย คือ ประมาณเกือบ 8 ลิตรต่อวันต่อคน นะคะ ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ แต่อากาศตอนกลางคืน ในช่วงซัมเมอร์นี้สิ ตรงข้ามกับอากาศตอนกลางวันอย่างน่าแปลกใจเลยค่ะ เพราะอากาศจะสบายๆ ค่ะ

ส่วนในฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ (winter) ถึงอากาศจะค่อนข้างหนาวเย็นสักหน่อย แต่ช่วงนี้ก็เป็นที่นิยมของคนชอบทำกิจกรรมปีนเขาเช่นกันค่ะ ซึ่งที่ Joshua Tree National Park นั้น ไม่ค่อยมีหิมะตก หากจะมีก็มักจะมีในเขตพื้นที่ ที่สูงๆ ค่ะ หากใครจะมาช่วงนี้ ก็เตรียมตัวให้พร้อมรับกับความหนาวเหน็บยามค่ำคืนด้วยนะคะ
ส่วนใครที่ชอบถ่ายรูป แนะนำให้มาทุกฤดูเลยค่ะ เพราะแต่ละฤดูความงามมันต่างกัน
3.2) กิจกรรมฮิตๆ ที่พลาดไม่ได้หากมาเที่ยวที่ Joshua Tree National Park
3.2.1) แค้มปิ้ง (camping)

เสน่ห์ของการมาเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ก็คือ การมาแค้มปิ้งค่ะ การนอนในเต็นท์ท่ามกลางบรรยากาศของธรรมชาติ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ดูหนังต่างประเทศทีไร ก็มักจะเห็นพวกเด็กๆ กางเต็นท์นอนในห้องบ้าง ในสวนบ้าง หรือ นอนในบ้านต้นไม้ เป็นเหมือนกันไหมคะที่อยากจะทำตามสุดๆ ก็มันดูน่าสนุกมากเลยนี่นาเนอะ ดังนั้นหากได้มีโอกาสมาเที่ยว อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี แล้วล่ะก็ ลองแค้มปิ้งดูนะคะ
3.2.2) ปีนเขา ไต่เขา (climbing)

Joshua Tree National Park ขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมการปีนเขามากๆ ค่ะ โดยเฉพาะในบริเวณ Hidden Valley ค่ะ แต่ไม่ใช่ใครๆ ก็ปีนเขาได้นะคะ ต้องเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมา มีคนดูแล และมีอุปกรณ์การปีนเขาพร้อม

3.2.3) ปีนป่ายก้อนหิน (scrambling)

ที่ Joshua Tree National Park มีหินที่เกิดจากธรรมชาติเยอะมาก ทั้งเล็กใหญ่ มีลักษณะคล้ายๆ เป็นก้อนหินหลายๆ ก้อนทับถมกัน สูงเป็นภูเขา จึงเหมาะกับการปีนป่าย กระโดดไปมาระหว่างก้อนหิน เพื่อปีนขึ้นไปให้สูงๆ, เพื่อชมวิวสวยๆ, ชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก, นั่งชิวเพลินๆ, หามุมสวยๆ ถ่ายรูป, ฝึกทักษะการคิด การแก้ปัญหา ว่าจะปีนไปทางไหน ก้อนไหนง่ายกว่า และเพื่อความสนุกสนานค่ะ ซึ่งกิจกรรม scrambling แบบนี้ สามารถทำได้ทุกคนเลยค่ะ
3.2.4) ไฮกิ้ง (hiking)

ที่ Joshua Tree National Park มี hiking trail เยอะมากๆ เกือบ 30 เส้นทางเลยค่ะ ตั้งแต่ทางเดินง่ายๆ สั้นๆ เริ่มตั้งแต่ 10 นาที บางเส้นทาง รถวีลแชร์ก็ไปได้ ไปจนกลางๆ เดิน 2 – 3 ชั่วโมง จนถึง ยากๆ ยาวๆ เดิน 4 – 6 ชั่วโมง หรือ 2 – 3 วัน เลยก็มีค่ะ โดยสามารถเข้าไปดู รายละเอียดเส้นทางเดิน ได้ที่ลิ้งค์ตรงนี้เลยค่ะ ส่วนเรื่องวิวที่จะได้เห็นนั้น ไม่ต้องพูดถึงค่ะ สวย แตกต่างจากที่เคยเห็นแน่นอนค่ะ
หากใครสงสัยว่า ไฮกิ้ง ต่างจาก เทรคกิ้ง อย่างไร และ ไฮกิ้ง เทรคกิ้ง ไปทำไม ได้ประโยชน์อะไร ก็คลิ๊กอ่านได้ที่ลิ้งค์ตัวหนังสือสีส้มๆ ทั้งสองที่ ตรงนี้เลยค่ะ
3.2.5) ปิกนิก (picnicking)
การมาเที่ยว Joshua Tree National Park ไม่จำเป็นต้องมาแค้มปิ้งค้างคืนค่ะ สามารถมาเที่ยวปิกนิกแบบวันเดย์ทริปได้ โดยเค้ามีพื้นที่ให้บริการสำหรับคนที่ไม่ได้มาค้างคืนอยู่หลายจุดเลยนะคะ สะดวกสบายมาก มีทั้งโต๊ะ เกาอี้ ห้องน้ำ เหมือนจุดกางเต็นท์เลยค่ะ
3.2.6) ดูดาว (stargazing)

ธรรมชาติกับดวงดาวเป็นอะไรที่คู่กั๊นคู่กัน หากใครเป็นคอดูดาว และชอบตามล่าทางช้างเผือก แล้วล่ะก็ พลาดไม่ได้เลยค่ะ ที่จะมาที่นี่ ท้องฟ้าที่กว้างไกล ไม่มีอะไรมาบดบัง ยิ่งเป็นคืนเดือนมืดแล้วยิ่งจะฟินไปใหญ่แน่ค่ะ
3.2.7) ดูดอกไม้ป่า (wildflowers)



ทะเลทรายก็มีสีสันนะ ตอนแรกหยกก็ไม่เชื่อค่ะ แต่พอมาได้เห็นกับตาเท่านั้นแหละ รู้สึกสดชื่นมาก ๆเลย ก็ได้เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ๆ, ต้นกระบองเพชรขนาดยักษ์ ที่ออกดอกมากมาย, เห็นดอกไม้ป่าบานสะพรั่งหลายสี ไม่ว่าจะส้ม แดง ชมพู ม่วง ฟ้า น้ำเงิน หรือ เหลือง แถมยังมีหลายเฉดอีกด้วย ทั้งเฉดสีเข้ม และอ่อน ทั้งดอกเล็ก ดอกใหญ่ ดอกเดี่ยว และดอกพุ่ม เยอะมากๆ แบบเดินตามถ่ายรูปจนเหนื่อยเลยค่ะ
3.2.8) ถ่ายรูป (photography)

แค่ตามล่าถ่ายรูปต้นโจชัว และภูเขาก้อนหินทั้งหลาย ก็ได้มาเป็นร้อยๆ รูปแล้วค่ะ ยังจะมีต้นกระบองเพชร, ดอกไม้ป่า, ดวงดาว, จุดชมวิว, นก และสัตว์ต่างๆ อีก Joshua Tree National Park นั้นใหญ่มากๆ เตรียมแบตเตอรี่, เมมโมรี่การ์ด และขาตั้งกล้อง มาให้พร้อมนะคะ

3.2.9) พักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติชิวๆ สบายๆ
การนั่งพักชมวิวบนก้อนหินสักก้อนนี่มันก็เพลินมากๆ เลยค่ะ ยิ่งหากได้ขึ้นไปสูงๆ แล้วนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกแล้วล่ะก็ ยิ่งฟินเข้าไปใหญ่เลยค่ะ หรือ มองหาโพรงใหญ่ๆ ระหว่างก้อนหิน หรือ หาที่นั่งใต้เงาหินร่มๆ สักแห่ง เพื่อหลบร้อน แล้วอ่านหนังสือ หรือ งีบหลับ ช่างเป็นการชาร์จแบตให้ร่างกายได้ดีสุดๆ เลยค่ะ
3.2.10) จินตนาการ

ยังมีอีกอย่างที่หยกชอบมาก คือ การมองพวกหินเหล่านั้น แล้วจินตนาการว่ามันเหมือนอะไร หยกเห็นหินรูปกระต่าย, ลูกขี่หลังพ่อ, เห็ด, ฝ่าเท้ายักษ์, มือที่ชูนิ้วกลาง, หน้าคน, กะโหลก, ไข่, จระเข้, ก้น(เด็ก), ปลาวาฬ, หัวใจน้อยๆ และ โดนัท เป็นต้น ลองเล่นดูนะคะ สนุก และตลกมากๆ เลยค่ะ
3.2.11) ดูสัตว์ป่า


อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี มีสัตว์ป่าอยู่หลายชนิด ทั้งที่อันตราย เช่น งูหางกระดิ่ง (rattlesnake) และไม่อันตราย เช่น กระต่ายหางปุกปุย, กระต่ายป่า, กระรอก, ชิฟมังค์, เต่าทะเลทราย, งูไม่มีพิษ, สุนัขจิ้งจอก Coyote และ กิ้งก่า เป็นต้น
3.2.12) ชมนิทรรศการธรรมชาติ

ภายใน อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี จะมีจุดให้ศึกษา ให้ความรู้ ให้ถ่ายรูป หรือ นิทรรศการธรรมชาติ (exhibition) แบบนี้ อยู่ตลอดเส้นทางเลยนะคะ
3.2.13) ชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก

การชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือตก ที่นี่ เป็นอะไรที่แตกต่างมากค่ะ เพราะมันไม่ใช่การชมจากทะเล หรือจากภูเขา แต่เป็นการชมในทะเลทรายที่มีก้อนหินสูงต่ำมากมาย วิวที่ได้ก็แล้วแต่ว่าเราจะขึ้นไปบนก้อนหินจากทางไหน สูงแค่ไหน
4. ไฮกิ้ง และปีนป่ายก้อนหิน ยากหรือเปล่าเนี่ย, ปีนลำบากไหม, หนทางที่จะเจอเป็นเยี่ยงไร, ระยะทางไกลแค่ไหน และ ใช้เวลาเดินนานขนาดไหน
4.1) ไฮกิ้ง ใน Joshua Tree National Park ยากหรือเปล่าเนี่ย

อย่างที่บอกไปค่ะ ว่าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และเส้นทางเดินป่า มีหลายระดับให้ได้เลือกเดินเลยค่ะ ตั้งแต่ง่ายๆ สั้นๆ ไปจนถึง ยากๆ ยาวๆ ค่ะ หากกลัวจะเดินไม่ไหว ก็เลือกเส้นทางง่ายสุด สั้นสุด แล้วค่อยๆ เลื่อนระดับยากขึ้นไปทีละนิดๆ ค่ะ
4.2) ปีนป่ายก้อนหิน ใน Joshua Tree National Park ยากไหมน้า, ปีนลำบากไหม และ ปีนยังไง
ก้อนหินพวกนี้มีลักษณะพื้นผิวเป็นกระดาษทรายหยาบๆๆ ที่ติดพื้นรองเท้าดีมาก ไม่ลื่นไม่ไหล การปีน (เดินขึ้น) จึงสนุกมาก แค่มั่นใจในแต่ละก้าวที่จะก้าว และมองหาทางปีนดีๆ ก่อนปีน

การปีนป่ายหินพวกนี้ ไม่มีทางเดินที่ถูกต้องนะคะ คือสามารถเลือกเดินเองตามใจฉันได้เลยค่ะ ดังนั้นภูเขาหินก้อนไหนก็ตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น ปีนได้หมดเลยค่ะ และระมัดระวังมากหน่อย หากหินนั้นชันมากๆ หรือ ต้องกระโดดข้ามระหว่างก้อนหินอีกก้อนไปยังอีกก้อน ขึ้นทางไหน ไม่จำเป็นต้องลงทางเดิมนะคะ ลองดูค่ะ อย่ากลัว รับรองจะติดใจ
มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์หญิงคนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปี 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
5. สิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นจุดกางเต็นท์, ที่พัก, ห้องน้ำ, ห้องอาบน้ำ, ร้านค้า, ร้านอาหาร, น้ำดื่ม, ไฟฟ้า หรือ สัญญาณโทรศัพท์ มีไหม
5.1) อุทยานแห่งชาติใหญ่ขนาดนี้ มีลานกางเต็นท์มีกี่ที่เนี่ย, ต้องจองไหม และ ราคาเท่าไหร่

Joshua Tree National Park มีลานกางเต็นท์อยู่ทั้งหมด 9 ที่ ค่ะ โดยมี 3 ที่ ที่สามารถทำการจองล่วงหน้าได้ และลานกางเต็นท์ (campground) อีก 6 ที่ เป็นแบบ ไม่มีบริการจองล่วงหน้า มาก่อน ได้ก่อน “first come, first served” ค่ะ
5.1.1) จองจุดกางเต็นท์ยังไง
สามารถทำการจองจุดกางเต็นท์ได้ 6 เดือนล่วงหน้า สำหรับ family sites และ 1 ปีล่วงหน้า สำหรับ group sites โดยจองผ่านเว็บไซต์ หรือ โทร +1(877)444-6777 ค่ะ
Campground Name (elevation) | No. of sites / Fee | Reservation | ||
Family site | Group site | Family site | Group site | |
Black Rock (1219 m) | 99 / $20 | 0 | Y | – |
Indian Cove (975 m) | 88 / $20 | 13 / $35-50 | Y | Y |
Belle (1158 m) | 18 / $15 | 0 | N | – |
Cottonwood (914 m) | 59 / $20 | 3 / $35-50 | N | Y |
Hidden Valley (1280 m) | 44 / $15 | 0 | N | – |
Jumbo Rocks (1341 m) | 124 / $15 | 0 | N | – |
Ryan (1310) | 31 / $15 | 0 | N | – |
White Tank (1158 m) | 15 / $15 | 0 | N | – |
Sheep Pass Group (1371 m) | 0 | 6 / $35-50 | – | Y |
หมายเหตุ
Campground Name (elevation) = ชื่อลานกางเต็นท์ (ความสูงของลานกางเต็นท์เหนือระดับน้ำทะเล ในหน่วย m (เมตร))
No. of sites / fee = จำนวนจุดกางเต็นท์ / ค่าธรรมเนียม ต่อคืน ต่อ 1 จุดกางเต็นท์
Reservation = การจองจุดกางเต็นท์
Y = สามารถจองจุดกางเต็นท์ล่วงหน้าได้
N = ไม่มีบริการให้ทำการจองจุดกางเต็นท์ล่วงหน้า

5.1.2) family sites และ group sites คืออะไร
Family sites คือ จุดกางเต็นท์ (campsite) ที่จำกัดจำนวนคนไม่เกิน 6 คน, เต็นท์ไม่เกิน 3 หลัง และรถไม่เกิน 2 คัน ต่อ 1 campsite ค่ะ
ส่วน Group sites คือ campsite ที่จำกัดจำนวนคน 10-60 คน และรถไม่เกิน 15 คัน
5.1.3) first come, first served ทำยังไง

จุดกางเต็นท์แต่ละจุด จะมีเสาหลักแสดงหมายเลขของจุดกางเต็นท์นั้นๆ โดยอาจจะมี/หรือไม่มี ใบ camping permit สีส้มๆ ยาวๆ หนีบไว้ที่เสาหลัก ซึ่งใบ camping permit นี้ จะแสดงรายละเอียดของคนจอง, จำนวนวันที่อยู่ และวันสุดท้ายที่จะอยู่ค่ะ
ถ้ามีใบ camping permit หนีบอยู่ – ให้ดูวันสุดท้ายที่ระบุ ก็จะทราบว่า จุดกางเต็นท์จุดนี้ จะว่างวันไหน ถ้าวันสุดท้าย คือ วันนี้ ก็ต้องรอให้เค้า check-out ออกตอนเที่ยงค่ะ เราถึงจะทำการจอง และ check-in ได้
ถ้าไม่มีใบ camping permit หนีบอยู่ – ก็ทำการจองจุดกางเต็นท์จุดนี้ได้เลยค่ะ
5.1.4) การจองจุดกางเต็นท์ โดย self-registration ดังนี้


- ต้องไปหยิบใบ camping permit ที่กล่องสีน้ำตาลๆ ก่อนเข้าบริเวณ ลานกางเต็นท์ โดยจะมีป้ายระบุว่า “Pay camping fees here”
- กรอกรายละเอียดในใบ camping permit ให้ครบถ้วน
- ฉีกใบหน้าตามรอยปะ แล้วหนีบไว้ที่เสาหลักแสดงหมายเลขจุดกางเต็นท์
- ใส่เงินให้พอดีกับจำนวนคืนที่จะค้าง ลงไปในส่วนที่เหลือที่เป็นเหมือนซองจดหมาย แล้วปิดผนึกให้สนิท
- นำซองจดหมายที่ใส่เงินนี้ ไปหย่อนลงในกล่องอลูมิเนียม ที่ติดกับกล่องสีน้ำตาล ตรงที่ไปหยิบใบ camping permit มานั่นแหละคะ
5.1.5) check-in & check-out กี่โมงน้า
แค้มปิ้ง ก็มีเวลาเช็คอิน เช็คเอ้าท์ นะคะ คือตอนเที่ยงตรงค่ะ ก็เพราะที่นี่มีจุดกางเต็นท์ตามจุดเฉพาะที่กำหนดไว้จุดไงคะ ไม่ได้กลางตามใจฉันแบบที่ไทย
5.1.6) สามารถแค้มปิ้งได้นานแค่ไหน
สามารถทำการแค้มปิ้งได้ ไม่เกิน 30 คืน ต่อ 1 ปี นะคะ โดยจำกัดระยะเวลาในช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤษภาคม ไม่ให้ทำการแค้มปิ้งเกิน 14 คืน เพราะเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวค่ะ
5.2) แล้วที่พักล่ะ
ไม่มีบ้านพักให้บริการนะคะ
5.3) ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ

41นี่ค่ะห้องน้ำ ส่วนด้านหลังห้องน้ำ คือ โทรศัพท์ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
มีห้องน้ำแบบแห้ง (pit toilet) พร้อมทิชชู่ และกระดาษสำหรับรองนั่ง ให้บริการค่ะ
ห้องน้ำแบบแห้ง คืออะไร เป็นแบบไหน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ แค้มปิ้งใน Santa Cruz Island โดยคลิ๊กอ่านที่ลิ้งค์ตัวหนังสือสีส้มๆ นี้ ได้เลยค่ะ
มี 2 campgrounds ที่มีห้องน้ำแบบกดชักโครก (flush toilet) ค่ะ คือ Black Rock และ Cottonwood
ส่วนห้องอาบน้ำนั้นไม่มีให้บริการนะคะ ซักแห้งเท้านั้นค่ะ
5.4) ร้านค้า ร้านอาหาร น้ำดื่ม

ใครจะมาแค้มปิ้งที่นี่ จะต้องเตรียมอาหารมาเองค่ะ เพราะในเขตอุทยานแห่งชาติไม่มีร้านค้า หรือ ร้านอาหารใดๆ เลย นอกจากอาหารแล้ว ยังต้องเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารมาด้วย

แต่ อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี นั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Yucca Valley เท่าไหร่ค่ะ ประมาณ 25 กิโลเมตร จากประตูทางเข้า West Entrance Station สามารถขับรถเข้าไปซื้อของ หรือ หาร้านอาหารทานได้ค่ะ

ส่วนน้ำดื่มที่เป็น Potable Water นั้น มีให้บริการอยู่ 4 จุดค่ะ คือ West Entrance Station, Black Rock Campground, Cottonwood Campground และ Indian Cove Ranger Station
5.5) ไฟฟ้า
กลางวันมีแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนกลางคืน ลองให้สายตาคุณปรับชินกับความมืดดูสิค่ะ คุณจะรู้ว่าดวงจันทร์ให้แสงสว่างมากแค่ไหน แต่หากเป็นคืนเดือนมืด คุณก็ได้ทราบว่าท้องฟ้ามีดวงดาวมากเป็นล้านๆดวงเลยทีเดียว ที่สามัคคีกันให้ความสว่างสู่โลกมนุษย์เราในยามค่ำคืน
5.6) สัญญาณโทรศัพท์

หากใช้ซิมการ์ดของอเมริกา หรือ เปิดโรมมิ่งมา จะมีสัญญาณโทรศัพท์ และ 3G ที่ด้านหน้าอุทยานแห่งชาติ และบริเวณถนนหลัก ก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณลานกางเต็นท์ค่ะ
กรณีฉุกเฉิน จะมี Emergency Phones ไว้ให้ใช้บริการอยู่หลายจุด ใน Joshua Tree National Park ค่ะ โดยให้โทรไปที่ 911 หรือ +1(909)-383-5651

6. ถ้าปวดเข้าห้องน้ำ ระหว่างการไฮกิ้ง จะทำอย่างไรละเนี่ย
ห้องน้ำธรรมชาติเวริ์คตลอดเวลาสำหรับหยกค่ะ ดูรอบๆ ดีๆ ลองยืนนิ่งๆ ฟังเสียงฝีเท้าสิ ว่ามีคนเดินมาไหม มองไกลๆ ตาม trail ว่ามีสิ่งเคลื่อนไหว (คน) มาทางเราหรือเปล่า สำหรับคุณผู้หญิงแล้วหาพื้นผิวดีๆ ไม่มีหญ้ารกๆ อย่าลืมหาต้นไม้, ก้อนหิน หรือ อะไรเพื่อเป็นกำบัง ก่อนนะคะ แล้วก็รีบทำธุระเลยค่ะ
เคยมาแล้วที่ปวดมากก รีบเลยค่ะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำธุระเสร็จปุ๊บ ใส่กางเกงเสร็จปั๊บ คนเดินมาจากไหนก็ไม่รู้อย่างทันทีทันใด 55+ ไอ้เราก็อาย แต่เค้าคงไม่เข้าใจ (หรือเปล่าน้า)

หวังว่าเพื่อนๆ ชาวสนุกเที่ยวจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนในการไปแค้มปิ้งที่ อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี นะคะ หากกำลังจะมองหาตั๋วเครื่องบินล่ะก็ นี่เป็นเว็บที่หยกใช้หาตั๋วเครื่องถูกๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามอ่าน ตอนที่ 2 ได้ที่ลิ้งค์ตรงนี้ เกี่ยวกับเรื่องเล่า จากประสบการณ์ของหยก พร้อมสอดแทรกทริค และสิ่งที่หยกได้เรียนรู้จากการแค้มปิ้งครั้งนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการท่องเที่ยวในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งตอนที่ 2 นี้ ยังมีลิสต์ของสิ่งที่ต้องเตรียมไปด้วย ข้อควรรู้ ข้อควรระวัง และอะไรไม่ควรปฏิบัติอีกด้วยค่ะ
มีข้อสงสัย คำถาม หรือ อยากแชร์เรื่องเที่ยว คอมเม้นต์ที่ช่องนี้ได้เลยค่ะ