
บทความนี้เป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์เทรคกิ้ง Mohare + Khopra + Mardi Himal Trek นะคะ ซึ่งเทรคกิ้งครั้งนี้หยกเดินทั้งหมด 13 วัน กับ 3 เส้นทางที่หยกประยุกต์มารวมกัน ดังนั้น ตอนนี้จะเริ่มจากวันที่ 9 นะคะ ซึ่งตอนนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ Mardi Himal Trek ค่ะ ซึ่งเส้นทาง Mardi Himal Trek นี้กำลังเป็นที่ฮิตมากๆ เพราะทางเดินสวย เดินบนสันเขา ในป่าโบราณ เดินไม่ยาก วิวอลังการ เห็น Macchhapuchhre ในมุม 2 แฉกชัดๆ ที่มองเห็นไม่ได้ง่ายๆ ทั้งใช้เวลาเดินสั้นๆ แค่ 5 – 6 วัน เท่านั้นเอง โดยมีจุดเด่นๆ อยู่ที่ จุดชมวิวที่สูงประมาณ 4,200 เมตร และ Mardi Himal Base Camp ซึ่งหยกไม่ได้ไป เพราะทางเดินปิด เหตุจากหิมะยังคงสูงมากค่ะ
บทความข้อมูลเกี่ยวกับการเทรคกิ้ง
สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากลองเทรค อยากเที่ยวแนวนี้ แต่เริ่มไม่ถูก ไม่รู้จะหาข้อมูลเกี่ยวกับการเทรคกิ้งทั้งหมดได้ที่ไหน หรือแม้แต่เพื่อนๆ ที่หลงใหลการเทรคกิ้งเนปาล ที่อยากได้ข้อมูลเทรคกิ้งเพิ่ม นี่เลยค่ะ ที่เดียวกับข้อมูลเต็มๆ
- ไฮกิ้ง เทรคกิ้ง คืออะไร? ต่างกันยังไง? พร้อมคำอธิบายที่แจ่มชัด และตัวอย่าง
- ข้อมูลเทรคกิ้ง Poon Hill สำหรับใครที่อยากเทรคบนเส้นทางฮิตเส้นนี้
- ไป Pokhara พักที่ไหนดี มีอะไรเที่ยว
- Checklist เตรียมอะไรไปเทรคกิ้ง ที่สามารถเตรียมเองได้ ไม่มีสิ่งนี้ ทำยังไง หาอะไรทดแทน หาซื้อที่ไหน เตรียมสิ่งนี้ไปทำไม ใช้ประโยชน์อะไร
- How to ขอวีซ่าเนปาล ตั้งแต่การเตรียมการณ์มาจากบ้าน เพื่อยื่นขอ Visa On Arrival ที่สนามบินตรีภูวัน
- ข้อมูลการเตรียมตัว ก่อนไปเทรคกิ้งเนปาล ให้พร้อมที่สุด ต้องเตรียมอะไร, เทรคเส้นไหน, ประกันบริษัทอะไรดี, ฉีดวัคซีนไหม, Permits อะไรบ้าง, น้ำดื่มล่ะ, ซิมการ์ดแพงไหม และ แลกเงินที่ไหน ฯลฯ
- AMS – อาการทั่วไป? อาการรุนแรง? เกิดกับใคร? ที่ไหน? ป้องกัน+หลีกเลี่ยงยังไง? ข้อควรปฏิบัติ? ถ้ามีอาการต้องทำยังไง? รักษาได้ไหม?
- ประกันการเดินทาง ครอบคลุมเทรคกิ้ง บนเขาสูงไม่เกิน 4,500 m + ครอบคลุม เนปาล & ประเทศอื่นๆ
- DOs & DON’Ts ระหว่างเทรคกิ้ง เนปาล ข้อควรรู้ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ – ใส่หูฟังฟังเพลง? ให้ขนมเด็กบนเขา? เดินลุยข้ามแม่น้ำ ต้องถอดรองเท้าเดินป่า? ต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อ? ฯลฯ
เป็นยังไงละคะ เพื่อนๆ ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเทรคกิ้งที่ครบถ้วน ที่ละเอียด อ่านง่าย เข้าใจเองได้ และยังทำตามได้เองสบายๆ เลยใช่ไหมล่ะ หากมีข้อสงสัยใดๆ คอมเม้นต์ที่ช่องคอมเม้นต์ด้านล่าง เข้ามาได้เลยนะคะ หยกรอตอบแล้วค่ะ
ทั้งนี้ หากใครกำลังมองหาเส้นทางเดินสั้นๆ 3 – 5 วัน คงไม่มีใครไม่รู้จัก Ghorepani Poon Hill นะคะ แต่หากใครกำลังมองหาเส้นทางที่ท้าทายๆ นี่เลยค่ะ Manaslu Circuit & Tsum Valley กับการเดิน 20 – 22 วัน ที่รับรองได้ว่าสวย สนุก และมันส์แน่ๆ ค่ะ
ประกันการเดินทางในเนปาล ครอบคลุมเทรคกิ้ง บนเขาสูง
สำหรับเพื่อนๆ ที่จะไปเทรคกิ้งเนปาล กำลังมองหา “บริษัทประกันการเดินทางท่องเที่ยวในเนปาล ที่ครอบคลุมกิจกรรมเทรคกิ้งบนภูเขาสูงไม่เกิน 4,500 เมตร” อยู่สินะคะ หายากมากเลยใช่ไหมละ หยกมีมาแนะนำค่ะ เป็นบริษัทของญี่ปุ่น เชื่อถือได้ มีศูนย์ในไทยด้วยค่ะ ซื้อง่ายๆ ผ่านทางออนไลน์ (คลิ๊กอ่านวิธีการซื้อ และ รายละเอียดกรมธรรม์) ได้เลย ซึ่งหยกใช้บริการมาตลอดค่ะ กับทุกที่ๆ ไป ไม่ใช่แค่ในเนปาล แต่ยังไม่เคยเคลมนะคะ
เพื่อความโปร่งใส: ไม่ได้มีการว่าจ้างจากบริษัทให้เอามาลงนะคะ ใช้เอง หาเจอ เลยเอามาแบ่งปันค่ะ
Day 9: Rest Day at Ghrandruk 1,940 m
ไฮไลท์สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ชมวิวหิมาลัยเพลินๆ พักผ่อนชิวๆ อากาศสบายๆ มีร้านเบเกอรี่อร่อยๆ ให้รางวัลตัวเองก่อนลุยต่อพรุ่งนี้


วันนี้เป็นวันพักที่พักจริงๆ ค่ะ มีเดินเล่นหาขนม หาเค้กกินเพลินๆ ในหมู่บ้านิดหน่อย ก็ที่นี่มีร้านเบเกอร์รีด้วยนะคะ มีแอปเปิ้ลพาย โดนัท และเค้กช็อคโกแลต เป็นต้น ที่อร่อยและฟินสุดๆ กินทั้งเที่ยงทั้งเย็นเลยค่ะ ทั้งที่ Ghandruk ก็มีวิวหิมาลัยที่สวยงามมากๆ จึงเป็นวันพักที่ประทับใจที่สุดเลยค่ะ



มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์คนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปลายปี 2564 – 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
มีเพื่อนๆ หลายท่านให้ความสนใจ หลังจากอ่านรีวิวการท่องเที่ยวของหยก ที่มีรูปแบบที่ค่อนข้างลุย ไปในที่ๆ มีนักท่องเที่ยวน้อยๆ ชอบขวนขวายหาสถานที่เที่ยวใหม่ๆ และได้เที่ยวได้สัมผัสแต่ละที่แบบเต็มๆ บอกว่า “ดูสนุกมากๆ เป็นสไตล์การท่องเที่ยวที่หายาก ไม่ค่อยมีใครเที่ยวแนวนี้กัน และอยากให้หยกจัดทริปพาเที่ยว” ในที่สุด หยกได้จัดทัวร์พาเที่ยวแล้วนะคะ เย้ๆๆ หยกเลยถือโอกาสนี้ ทำโพสต์ถึงเหตุผลที่หยกจัดทริป ทำไมทัวร์ของหยกจึงแตกต่าง และ ทำไมต้องมาเที่ยวกับหยก? มาไว้ที่นี้ค่ะ มาร่วมทริปร่วมสนุกด้วยกันนะคะ
Day 10: Ghandruk 1,940 m – Low Camp 2,976 m

ไฮไลท์สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ทางเดินก่อนถึง Low Camp – ทางเดินร่มรื่น สวยงาม ในป่าโบราณและกุหลาบพันปี
วันนี้เป็นวันที่หนักและทรหดมากๆ ค่ะ เพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องเทรคตามนะคะ แนะนำให้แบ่งออกเป็น 2 วันจะสบายน่องและหัวเข่ากว่าเยอะค่ะ เพราะมีที่พักให้เลือกหลายแห่งระหว่างทางเลยค่ะ


โชคดีที่เมื่อวานเป็นวันพัก วันนี้ที่ไม่คิดว่าจะทรหดเลยไม่แย่แบบที่ควรจะเป็น ก็การเดินลงบันไดหินชันๆ แบบไม่หยุดกว่า 1 ชั่วโมง จาก Ghandruk ที่สูง 1,940 เมตรยาวดิ่งลงไปที่ Kyumi ที่สูง 1,315 เมตร คิดว่านี่หนักแล้ว แต่ยังค่ะ เพราะอากาศในที่ต่ำนี่คือร้อนมากๆ ทั้งแดดก็แดด เหงื่อนี่เต็มไปหมด ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่กับการเดินขึ้นต่อด้วยบันไดหินชันๆ กลางแจ้ง ที่ยิ่งทำให้เหนื่อยไปกว่าเท่าตัว ยิ่งเหงนหน้ามองก็ยังไม่เห็นความสิ้นสุดของบันได มีแต่จะร้อนและร้อนขึ้นไปอีก แต่แล้วความงามของ Annapurna ก็โผล่มาให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด เลยลืมความเหนื่อยเป็นพักๆ และมีแรงฮึดลุยต่อ 50 กว่านาทีผ่านไป ก็ถึง Landruk ที่ให้ได้เติมน้ำดื่มหลังจากที่ดื่มหมดไปแล้วจากอากาศที่ร้อนมาก เพื่อเตรียมตัวลุยต่อกับบันไดหินชันๆ อีกประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งยาวไปจนสิ้นสุด Landruk

ยังค่ะ ความชันของ Mardi Himal Trek ยังไม่จบ เพราะที่พักของคืนนี้คือที่ Low Camp ที่สูงถึง 2,976 เมตรเลยค่ะ ถึงแม้จะไม่มีบันไดหินเรียงสวยๆ ชันๆ อีกแล้ว แต่ก็ยังคงมีความชันตามเทรลธรรมชาติที่อย่างน้อยก็เดินง่ายและสนุกกว่าบันไดหินเป็นแน่ ทั้งยังเดินในร่มอีกด้วยค่ะ เดินเรื่อยๆ เหนื่อยๆ หอบๆ และหิวสุดๆ สักพักใหญ่ๆ ก็ถึง Forest Camp ให้ได้เติมพลัง และให้ขาที่สั่นพรั่บๆ ได้หยุดพักสักหน่อย

หลังจากเติมพลังแบบไม่อั้นไปกับ dal baht แล้ว ความเหนื่อยก็หายไป สมองกลับมาแล่นอีกครั้ง พลังงานเหลือล้น พร้อมเดินสุดๆ เว้นก็แต่ขาทั้งสองข้างที่สั่นระริกๆ และล้าเป็นที่สุด โชคดีที่ทางเดินจากนี้ไปไม่ชันอีกแล้ว คือเป็นทางเดินที่ค่อยๆ ลาดชันนิดๆ ที่มีบางช่วงต้องเดินขึ้นหินก้อนโตๆ หลายๆ ก้อน ซึ่งเป็นการเดินในร่ม ที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้ขาว และมอสเขียวๆ ซึ่งเดินไปได้สักครึ่งชั่วโมงก็เจอ Rest Camp ที่มีที่พักอยู่ 2 แห่ง ให้ได้เลือกพักหากใครไม่ไหวที่จะไปต่อ Low Camp หยกเดินต่อไปเรื่อยๆ เดินแบบไม่หยุด อีกประมาณ 1.15 ชั่วโมง ก็ถึง Low Camp แล้วค่ะ พอมาถึงคืองงนิดๆ สับสนหน่อยๆ ก็ดันคาดหวังไว้เยอะว่าที่นี่ต้องมีความพิเศษ ต้องมีวิวดีๆ แต่ความเป็นจริงแล้วคือไม่มีอะไรเลยค่ะ ทั้งบรรยากาศของที่พักแต่ละที่ก็ดูแปลกๆ คล้ายๆ กับพึ่งเปิดให้บริการหลังจากปิดร้างมานาน แบบนั้นเลยค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าห้องพักใหม่ๆ นั้นเต็ม หยกเลยได้พักที่ดูแย่ที่สุดเท่าที่เคยพัก โชคดีที่เจ้าของเป็นกลุ่มผู้ชายวัยรุ่นที่อารมณ์ดี ทั้งยังเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงกันสนุกสนาน ที่สำคัญคือทำอาหารอร่อยมากๆๆๆๆ ค่ะ และให้เยอะด้วย แน่นอนว่าหยกสั่ง dal baht แต่เห็นคนอื่นสั่งพิซซ่าก็ดูดีน่ากินมากๆ แผ่นใหญ่ ชีสเพียบ หรือจะเป็นมักกะโรนีชีสก็ดูน่ากินมากๆ เช่นกันค่ะ

คำแนะนำ
- ที่ Forest Camp นั้นมีที่พักอยู่ 4 แห่งค่ะ และกำลังมีการสร้างเพิ่มอีกด้วย ที่นี่ไม่มีวิวใดๆ แต่มีความสีแดงบานเย็นแจ่มๆ ของดอกกุหลาบพันปีรอบๆ ที่ช่วยเติมแต่งให้พอดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง
- ถึงแม้ Forest Camp และ Low Camp จะมีที่พักอยู่หลายแห่ง แต่ก็สามารถเต็มได้อย่างรวดเร็วเลยนะคะ อีกทั้งบางที่พักใน Low Camp ยังเก่ามากๆ แลดูเหมือนกับว่าขาดการดูและรักษา หยกแนะนำให้ออกเดินแต่เช้าค่ะ (ทั้งนี้ ขึ้นกับว่ามาเทรคฤดูไหน และเริ่มเดินมาจากที่ไหนนะคะ) โดยให้มาถึงไม่สายไปกว่า บ่ายสองบ่ายสาม จะยังพอมีตัวเลือกห้องพักดีๆ เหลืออยู่บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วตามความเห็นหยก ที่พักของทั้ง Forest Camp และ Low Camp นั้นไม่น่าพักค่ะ โดยเฉพาะที่ Low Camp เนื่องจากไม่มีวิวให้เห็น และที่พักค่อนข้างเก่าและดูมืดๆ
- หากที่พักที่ Forest Camp เต็มหรือมีเวลาและมีแรงไปต่อสักหน่อย ลองเดินไปอีกประมาณ 30 นาทีนะคะ จะเจอ Rest Camp ค่ะซึ่งมีที่พักที่น่าอยู่กว่าเยอะเลยค่ะ



Day 11: Low Camp 2,976 m – High Camp 3,525 m
ไฮไลท์สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ทางเดินจาก Middle Camp – ทางเดินสันเขา ทางเดินสวย เดินสนุก และวิวของ Annapurna, Hiunchuli และ Macchhapuchhre



แนะนำก่อนเลยค่ะ ว่าหากใครมีแรงเดินต่อจาก Low Camp โดยเดินแค่ประมาณ 30 นาที ลองแพลนมานอนค้างที่ Badal Danda นะคะ ที่นี่มีที่พัก 1 แห่งถ้วน เพราะที่นี่นั้นตั้งอยู่บนพาสค่ะ เลยมีวิวดีมากๆ ทั้งยังมีการตกแต่งที่น่าอยู่ มีโต๊ะเก้าอี้ไว้ทานอาหารนั่งชมวิวหิมาลัย (หากฟ้าเปิด) เลยทำให้มีบรรยากาศดีสุดๆ ทั้งยังไม่ค่อยมีคนรู้ และไม่ได้มีระบุไว้ในแผนที่อีกด้วยค่ะ เสียดายมากๆ ค่ะ ถ้าหยกรู้นะ หยกจะเลือกมาพักที่นี่แน่นอนค่ะ


ทางเดินวันนี้ไม่ยากค่ะ ไม่ชันมากด้วย โดยเป็นแบบลาดขึ้นนิดๆ ช่วงแรกจะเดินวนขึ้นในป่าจึงร่มรื่นและเขียวขจีมากๆ มีมอสเต็มไปหมด ทั้งยังมีดอกไม้เล็กๆ สีม่วงที่เกิดเหนือดินมากมายสวยงามสุดๆ เลยค่ะ อากาศที่หนาวเย็นเริ่มอุ่นขึ้นหลังจากเริ่มเดินไปได้สักพัก จนต้องหยุดถอดเสื้อกันลม หมวกไหมพรม และถุงมือออก เพื่อที่จะได้เดินสบายขึ้น ไม่นานก็ถึง Badal Danda ที่มีที่พักที่น่าพักและบรรยากาศดีมากๆ จนอยากที่จะย้อนเวลากลับไปเมื่อวาน แล้วมาค้างคืนที่นี่แทนที่ Low Camp

จากนั้นก็เดินวนเข้าป่าไปอีกรอบ ก่อนจะวนออกมาแล้วก็เจอกับ Middle Camp ที่บรรยากาศดีและน่าอยู่กว่า Forest Camp และ Low Camp มากมายเลยค่ะ จากนี้ไปจะเป็นทางเดินกลางแจ้งจนถึง High Camp เลยค่ะ โดยที่ทางเดินสนุกและท้าทายขึ้น ทั้งวิวก็สวยมากขึ้นอีกด้วย จะมีทั้งเดินริมผา เดินบนทางเดินกึ่งๆ สันเขาที่ค่อนข้างกว้าง และเดินขึ้นกึ่งๆ ปีนก้อนหินชันขึ้นไปช้วงสั้นๆ หยกออกเดินตั้งแต่ 7.15 น. ค่ะ แต่วันนี้ท่องฟ้าไม่เป็นใจ เมฆหมอกหนา ลอยไปมา มองเห็นวิวเป็นครั้งคราว โชคดีช่วงที่เดินเลย Middle Camp ฟ้าเปิดค่ะ เลยได้รับการทักทายจาก Annapurna อย่างใกล้ชิด กับฟ้าสีฟ้าใส ตัดกับวิวรอบๆ ทางเดินที่ยังคงปกคลุมด้วยหิมะสีขาว สลับกับต้นหญ้าสีน้ำตาล ทั้งหมอกขาวๆ ที่ลอยไปมา สวยงามสุดๆ เลยค่ะ แต่จะหยุดเพลินกับวิวนานๆ ก็ไม่ได้ เพราะอากาศช่วงสายบนที่สูงอาจจะแย่ได้ ทั้งยังไม่มีที่พัก (เนื่องจากเหตุการณ์พายุหิมะถล่ม ABC ทำให้หลายที่พักถูกทำลาย และทางเดินยังปกคลุมไปด้วยหิมะสูงเท่าหลังคาบ้าน ABC เลยปิดค่ะ เทรคเกอร์ส่วนมากที่วางแผนจะไปเทรคที่ ABC เลยเปลี่ยนแผนมาเทรคเส้นนี้แทน เพราะอยู่ในเขตเดียวกัน ทำให้ที่พักเต็มแบบไม่น่าเชื่อ) เลยต้องกลั้นใจเดินต่อค่ะ

ซึ่งแน่นอนว่ายังมีทางเดินช่วงสั้นๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ แต่เดินไม่ยากค่ะ เพราะทางเดินหิมะที่เป็นน้ำแข็งแบบอัดแน่นนั้นถูกปกคลุมด้วยดินอีกที คล้ายกับมีคนเอาดินมาโปรยไว้ให้งานต่อการเดิน พอพ้นช่วงหิมะ ก็เดินอ้อมเขาสบายๆ วิวหมอกขาวๆ ลอยไปลอยมางามๆ สวยฟินดีเหมือนกัน ซึ่งหากอากาศดี ฟ้าเปิด วิวที่เห็นคงจะสวยไปอีกแบบค่ะ เดินวนๆ เพลินๆ สักพัก High Camp ก็อยู่ข้างหน้าแล้วค่ะ

อากาศที่ High Camp แย่มากๆ แย่มาตั้งแต่ช่วงสายๆ แล้วค่ะ โชคดีที่หยกออกเดินตั้งแต่เช้า เลยพอได้เห็นวิวหิมาลัย เห็นฟ้าใสๆ ระหว่างเดินบ้าง พอช่วงใกล้ถึงสัก 8 โมงกว่าๆ ฟ้าก็เริ่มปิด เมฆหนา ขาวไปหมดเลยค่ะ พอหลังเที่ยงก็เริ่มมีหิมะตก ลมแรงซะด้วย อากาศเลยหนาวมากๆ หยกนั่งหน้าเตาอุ่นๆ ในห้องทานอาหาร เสียงหิมะตกลงบนหลังคานี่ตอนแรกคิดว่าเค้าทำป๊อปคอร์นเลยค่ะ แล้วหิมะก็ตกๆ หยุดๆ หนักบ้างเบาบ้าง อยู่หลายรอบ แล้วก็สลับกับฝนที่ตกหนัก ทั้งฟ้าร้องฟ้าแลบ เกือบจะตลอดช่วงบ่าย มาหยุดก็ตอนบ่ายสี่กว่าๆ ค่ะ ให้ฟ้าได้ใส ให้แดดได้ออกมาบ้าง ทำให้ห้องทานอาหารสว่างขึ้นมาทันที จนเทรคเกอร์ที่นั่งหนาวในห้องทานอาหารรีบกรูกันออกมารับความอุ่นและชมวิวยอดเขา Annapurna ที่ออกมาเผยโฉมให้ได้ยล แต่ความงามของแสงแดดนั้นอยู่ไม่นานค่ะ สักพักฟ้าก็ปิด ให้ได้เป็นที่กังขาระหว่างเทรคเกอร์ว่าพรุ่งนี้เช้า ฟ้าจะเปิดให้ได้ขึ้นไปที่จุดชมวิวไหมน้า แต่ที่รู้แน่ๆ คือคืนนี้หนาวมากๆ ค่ะ




Day 12: High Camp 3,525 m – Pothana 1,890 m

ไฮไลท์สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ทางเดินจาก Forest Camp ไปจนถึง Pitam Deurali เป็นทางเดินร่มรื่น ชื้น สวยงามไปด้วยความเขียวของมอส และเฟิร์น
Pothana 1,890 m – Macchhapuchhre


Tea Shop Rhododendron ร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ห่างจาก Forest Camp แค่ประมาณเกือบชั่วโมง กับบรรยากาศรอบๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และมอสเขียวขจีไปหมด เลยดูชิวๆ สบายๆ และเงียบสงบดีค่ะ ที่นี่ไม่มีที่พักให้บริการนะคะ

หยกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณตีสี่สี่สิบค่ะ แต่ก่อนที่นาฬิกาจะดังไม่ถึง 5 นาที ก็มีเสียงฟ้าร้องปลุกมาก่อนเลยค่ะ ได้ตื่นเต็มๆ ตาเลยค่ะ รู้แน่ๆ ว่าเช้านี้ฟ้าปิดแน่นอน ไม่ได้ขึ้นไปที่จุดชมวิวแน่ๆ แล้วสักพักเสียงนาฬิกาก็ดัง ที่หยกนั้นตื่นอยู่ก่อนแล้วจากเสียงฟ้าร้อง แต่ด้วยความหนาวจึงยังคงนอนขดอยู่ในถุงนอน ในสมองก็คิดๆๆ ว่าเอาไงดีน้าวันนี้ แต่แล้วก็ยังคาใจเรื่องสภาพอากาศ เลยลุกออกไปข้างนอก เพื่อไปดูสภาพท้องฟ้าให้เห็นกับตาดีกว่า แล้วค่อยมาตัดสินใจว่าเอาไงดี แล้วท้องฟ้าก็ปิด ขาวจั๊ว ดั่งสัญญาณล่วงหน้าของฟ้าที่ร้องเตือน เช้านี้อากาศแย่มากค่ะ เทรคเกอร์เกือบทุกคนยังคงเดินวนเวียนๆ อยู่หน้าที่พักของตัวเอง และพูดคุยกันว่าเอาไงดี จะเดินไปจุดชมวิวกันดีไหม คือฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งขาวมากๆ แต่ Macchhapuchhre ก็โผล่ออกมานอกหมอกขาวๆ มาให้ได้ยลโฉม โดยที่บริเวณทางเดินไปจุดชมวิวส่วนต้นๆ นั้นก็ไม่มีเมฆหมอกปกคลุม ถึงแม้ท้องฟ้าจะยังขาวโพนอยู่ก็ตาม (จากที่เมื่อเช้าๆ นั้นขาวมืดไปทั่วทั้งฟ้า) ส่วนอีกซีก(ฝั่งทาง Low Camp) นั้นก็เมฆดำเชียวค่ะ ท้ายที่สุดเทรคเกอร์บางส่วนก็ตัดสินใจเดินไปทางจุดชมวิวเพราะบริเวณนั้นไม่มีเมฆหมอกปกคลุม แต่ก็คุยกันว่าคงไม่ไปถึงจุดชมวิวหรอก เพราะหากเกิดฟ้าปิดอีกครั้ง จะกลับลงมาไม่ทัน แล้วคงจะอันตรายแย่ ประกอบกับทางเดินทั้งหมดนั้นยังปกคลุมไปด้วยหิมะ เลยกะจะแค่เดินขึ้นไปให้สูงสุดเท่าที่ทำได้ เพราะหลายๆ คนก็ไม่ได้มี microspikes หรือ crampons มาด้วย

ส่วนหยกนั้นเห็นฟ้าขาวๆ เมฆหนาๆ แน่นๆ แล้ว ก็ตัดสินใจไม่ไปค่ะ สบายใจกว่า เลยรีบแพ็คของแล้วเดินลง เพราะหากข้างบนที่สูงแบบนี้อากาศแย่ หิมะตก ข้างล่างก็มีความเป็นไปได้ที่ฝนจะตกและ/หรือลูกเห็บตก ทั้งวันนี้วางแผนไว้ว่าจะเดินลงไปยาวเลยค่ะ พรุ่งนี้จะได้ขึ้นรถจาก Phedi กลับเข้า Pokhara
อากาศหนาวมากๆ ค่ะ ทั้งลมก็แรงมากๆ ด้วย แต่หยกก็กลั้นใจไม่ใส่เสื้อกันหนาวขนเป็ด แต่ใส่เสื้อกันลมแทน อย่างน้อยก็ช่วยบั่นทอนความหนาวไปได้บ้าง แล้วตามด้วยเสื้อกันฝนและกางเกงกันฝน เกิดหิมะหรือฝนตกระหว่างทาง จะได้ไม่ทำให้เปียกและหนาวยิ่งไปอีก หยกออกเริ่มเดินตั้งแต่ 06.50 น. ทางเดินนั้นคงไม่ต้องบอกว่าได้ปกคลุมไปด้วยหิมะใหม่ๆ ที่พึ่งจะตกเมื่อตอนกลางคืน ที่ค่อนข้างลื่น หยกลื่นไปหนึ่งทีหลังจากที่ออกเริ่มเดินได้แค่ไม่กี่นาที คือพึ่งจะพ้นที่พักมาได้สักพักเท่านั้นเอง ส่วนลูกหาบนั้นจากที่เดินคล่องสุดๆ ก็เดินอย่างช้าๆ ระวังสุดๆ เพราะทางเดินช่วงแรกนี่เดินกันริมผาค่ะ หยกจึงรีบหยิบ microspikes มาใส่ทันที ซึ่งช่วยได้มากค่ะ เดินได้คล่องสุดๆ ไม่ลื่นเลย จึงเดินได้เร็วขึ้น และยิ่งต้องเดินเร็วขึ้นไปอีก เพราะลมหนาวที่พัดแรงสุดๆ เดินๆ ไปก็หันหลังไปมองอยู่บ่อยๆ ท้องฟ้ายังคงเป็นสีขาว เมฆยังคงหนา แต่ Macchhapuchhre ยังคงโผล่มาให้เห็นท่ามกลางพื้นหลังที่ขาวจั๊ว แต่พอ 07.40 น. ทั้งเมฆและหมอกขาวๆ ก็เริ่มเคลื่อนมาปกคลุมยอดเขาหางปลาสองแฉกงามๆ ยอดนี้ซะแล้วค่ะ

แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องถอด microspikes แล้ว เพราะทางเดินนั้นไม่มีหิมะปกคลุมแล้วค่ะ ตั้งแต่บริเวณที่พักที่อยู่ระหว่าง High Camp กับ Middle Camp ที่ชื่อ Panoramic Guesthouse & Restaurant ที่น่ามาพักค้างคืนมากๆ เพราะหากฟ้าเปิดแล้วที่นี่จะเห็นวิวหิมาลัยแบบพาโนรามาที่งดงามมากๆ เลยค่ะ
จากฝนฟ้าถล่มเมื่อวาน ทางเดินในป่าช่วงนี้จึงเปียกแฉะและค่อนข้างลื่นใช่เล่นเลยค่ะ ดีที่ทางเดินไม่ได้ลาดชันมาก เดินเพลินๆ สักพักก็ผ่าน Middle Camp แล้วอีกแปปก็ถึง Badal Danda ที่ๆ หยกอยากจะค้างคืนที่สุด จึงแวะถอดเสื้อกันลม เสื้อกันฝน และกางเกงกันฝนออก เพราะร้อนสุดๆ เลยค่ะ และสั่งชานมมาดื่ม และกินบรรยากาศก่อนจะลงไปต่ำกว่านี้ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีวิวให้เห็นก็ตาม เพราะฟ้าปิดจริงจังมากค่ะ แต่ก็มองเห็น Middle Camp, Panoramic Guesthouse & Restaurant และ ทางเดินส่วนต้นที่เดินไปยัง High Camp
แล้วก็ไม่รอช้า รีบออกเดินต่อค่ะ เดินเพลินๆ ลื่นๆ แฉะๆ ไถลไป 2 – 3 ที ลื่นก้นจ้ำเบ้าไปหนึ่งทีให้ได้มีตราประทับโคลนเพื่อเป็นของที่ระลึก แล้วก็ถึงที่ Low Camp อย่างทันใด รีบวางกระเป๋าแล้วตรวจสภาพความเปรอะทันที หันไปมองพี่ลูกหาบที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แกหัวเราะใหญ่ แล้วก็หันหลังโชว์อย่างไม่อายว่าแกก็ก้นจ้ำเบ้าเหมือนกัน สนุกสนานกันใหญ่เลยค่ะ แต่แล้วเราก็ไม่รีรอ รีบออกเดินต่อทันที เพราะท้องฟ้าแลดูไม่เป็นมิตรเลย เดินระวังๆ วนๆ ลงๆ ลื่นๆ ซึ่งก็สวนกับเทรคเกอร์ที่ทยอยเดินขึ้นค่อนข้างเยอะเลยค่ะ

ทางลงไป Forest Camp นั้นไม่ค่อยแฉะค่ะ เดินเร็วๆ เพลินๆ แข่งกับเมฆดำที่เริ่มลอยมา กับหมอกขาวที่เริ่มคลุ้ง พอเริ่มมองเห็นหลังคาที่พักใน Forest Camp ฝนก็ลงเม็ดพอดีเลยค่ะ พอเดินต่อได้สักพัก ฝนก็ตกหนักขึ้นจนต้องหยุดเพื่อเอาผ้ากันฝนคลุมกระเป๋า แล้วก็รับจ้ำต่อ ซึ่งพอถึง Forest Camp เท่านั้นแหละ ฝนกระหน่ำเลยค่า แทบจะวิ่งเข้าร้านอาหารไม่ทัน ระหว่างที่รอฝนให้ตกน้อยลง คือหากจะรอให้ฝนหยุดตกเลยนี่ถ้าจะเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเมฆดำและฟ้าปิดมากๆ แบบที่ประมาณการณ์ได้ว่าอากาศคงจะแย่ทั้งวัน เลยยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อไม่เจ็บปวดจากการเดินลงรวดเดียวแบบยาวๆ (ซึ่งช่วยได้เยอะเลยนะคะ สังเกตได้จากการเดินขึ้นลงบันไดที่พัก กรณีที่พักชั้นสองขึ้นไป นั้นเดินได้อย่างสบาย ไม่มีปัญหาเลยค่ะ เมื่อเทียบกับในอดีตที่ไม่เคยยืดเส้นหลังเดินเลย) พร้อมกับสั่งชานมร้อนกับขนมปังทิเบตมาทานเพื่อความอบอุ่นและรองท้องเบาๆ ก่อนอาหารเที่ยง เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ 40 – 50 นาทีเห็นจะได้ ฝนยังคงตกแต่แบบปรอยๆ หยกก็ไม่รีรอค่ะ ใส่เสื้อกันฝน จัดกระเป๋าดีๆ แล้วออกเดินต่อทันที

เมื่อเดินออกจาก Forest Camp มาสักหนึ่งนาทีก็ให้เดินตรงไปนะคะ (ไม่ต้องเดินลงไปทางขวาซึ่งเป็นทางเดิมที่เดินมาจาก Landruk) ซึ่งทางเดินจากนี้ไปจนถึง Pitam Deurali นั้นสวยมากๆ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยระหว่างทางประมาณ 1 ชั่วโมงจาก Forest Camp จะมีร้าน tea shop เล็กๆ ร้านเดียวเท่านั้น ซึ่งมีอาหารให้บริการนะคะ เหมาะเป็นจุดทานอาหารกลางวันมากๆ เพราะเงียบสงบ ร่มรื่น ตั้งอยู่แบบโดดเดี่ยวท่ามกลางความเขียวขจีของป่าไม้ ทั้งวันนี้ฝนตกเบาๆ และมีหมอกขาวคลุ้งๆ ลอยไปมา บรรยากาศดีสุดๆ เลยค่ะ เสียดายที่หยกไม่ได้หยุดทานอาหารเที่ยงที่นี่ เพราะหยกมาถึงที่นี่ตอน 12.40 น. ซึ่งเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เลยมีเทรคเกอร์ที่ทั้งรออาหารและหลบฝนเลยต้องรออาหารอยู่หลายกลุ่ม การจะรออาหารคงจะใช้เวลานาน ทั้งฝนก็ยังคงตกไม่มีวี่แววว่าจะหยุด หยกก็เกรงว่าทางเดินจะยิ่งลื่นไปใหญ่ เลยรีบออกเดินต่อดีกว่า ฮึดต่ออีกสัก 2 ชั่วโมงก็คงจะถึงที่พักแล้ว ค่อยพักยาวทีเดียวแล้วทานอาหารที่นั่นเลยดีกว่า ว่าแล้วก็ออกเดินต่อ พร้อมกับหยิบ energy bar ขึ้นมารองท้อง และยื่นให้พี่รามหนึ่งอัน แกยิ้มให้หนึ่งที เป็นอันว่ารู้กันว่า รีบเดินนะ ถึงที่พักแล้วจะได้ทานข้าวกัน

ทางเดินยังคงร่มรื่น เดินในร่ม ลาดบ้าง ชันบ้าง แต่แค่ช่วงสั้นๆ 3 – 5 ก้าวสลับกันไป ให้พอได้เดินแบบไม่น่าเบื่อ ให้ได้มีรสชาติของความสนุกปนบ้าง บริเวณนี้ความเขียวขจีลดลง โดยในส่วนของต้นไม้เล็กๆ ต้นต่ำๆ ที่ติดกับดินนั้นแทบจะไม่มีให้เห็น ไม่ใช่ว่าความสมบูรณ์น้อยลงหรอกนะคะ แต่เพราะใกล้หมู่บ้านค่ะ หมู่บ้านที่มีการเลี้ยงแกะ ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เป็นอาหารรสเลิศชั้นดี หยกเดินผ่านน้องแกะตัวอ้วนๆ สมบูรณ์ๆ มีเขาอันใหญ่งอนๆ สวยๆ อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ที่กำลังเมามันส์กับการทานผักสดๆ กรอบๆ อย่างเอร็ดอร่อยเลยแหละค่ะ

สักพักลูกเห็นก็ตกค่ะ เม็ดเล็กสวยงาม เสียงตกลงกระทบดินกระทบต้นไม้เพราะดีค่ะ เพลินๆ แต่สักพักเม็ดใหญ่ขึ้น ตกใส่มือใส่หัวนี่ก็แอบเจ็บเบาๆ นะคะ แต่ก็ตกได้ไม่นานค่ะ โดยตกๆ หยุดๆ อยู่ 3 รอบ ให้ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่นานนักทางเดินก็ราบเลียบ แล้วก็มองเห็นหลังคาน้ำเงินๆ ไกลๆ พี่ลูกหาบรีบชี้บอกว่านั่นคือ Pitam Deurali แล้วก็รีบจ้ำกันเลยค่ะ
Pitam Deurali สูง 2,100 เมตร มีที่พักอยู่ 2 แห่ง ที่มีราคาแพงมากค่ะ คือ ห้องละ 700 rs แพงกว่า High Camp ที่สูง 3,525 เมตรอีก ที่พักเป็นตึกปูนสูง 3 ชั้น ที่ไม่มีบรรยากาศของความเป็น tea house แบบดั้งเดิม ดูเป็นการค้ามากๆ ทั้งเจ้าของก็ดูไม่เป็นมิตร หยกเลยตัดสินใจเดินต่อไปที่ Pothana ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 30 – 40 นาทีก็ถึง อยู่กันมาหลายวัน พี่ลูกหาบดูจะเข้าใจว่าหยกเที่ยวสไตล์ไหน พอบอกแกว่าห้อง 700 rs ไปต่อเถอะ แกก็อมยิ้มปนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า ok ok Pothana พร้อมกับแบกกระเป๋าขึ้นแล้วเดินต่ออย่างอารมณ์ดีสุดๆ หยกเลยหันไปตบไหล่พี่แกหนึ่งทีแล้วบอกขอโทษๆ แกก็ยิ้มหวาน น่ารักที่สุด
เดินมาได้สักพัก ก็เจอทางเดินบันไดที่ลาดลงๆ บันไดที่เดินง่าย ไม่ชันเกินไป เดินเรื่อยๆ เหนื่อยๆ และรีบๆ เพราะหิว ทั้งยังตัวยังคงเปียกชื้นจากฝนและลูกเห็บ เมื่อถึง Pothana รู้สึกว่าบรรยากาศมันให้ มันน่าอยู่มากๆ ค่ะ เจ้าของก็เป็นมิตร อารมณ์ดี ค่าห้องก็แค่ 400 rs เท่านั้นเอง แถมคุณพี่เจ้าของยังใจดี ลดให้เหลือ 300 rs ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอลดราคาเลยด้วย แล้วก็รีบสั่งอาหารมาทานค่ะ หยกสั่ง cheese macaroni อร่อยมากๆ ยิ่งทานตอนหิวยิ่งอร่อยสุดๆ เส้นหนึบๆ ชีสเยอะๆ ยืดๆ

ที่นี่อากาศมากค่ะ โดยเฉพาะกับตัวที่ยังคงเปียกๆ ทั้งฝนก็ยังคงตกต่อเนื่อง จึงไม่รีรอที่อาบน้ำร้อน แต่ด้วยประสบการณ์ ก็ต้องถามก่อนว่าน้ำร้อนจากแผงโซล่าร์เซลล์หรือแก๊ส ถ้าโซล่าร์ ตอนนี้น้ำคงไม่ร้อนแน่ เพราะไม่มีแดดทั้งวันเลย พอได้คำตอบว่าจากแก๊สเท่านั้นแหละ คำถามต่อไปคือ ราคาเท่าไหร่ 150 rs เท่านั้นเอง ไม่เพียงเท่านั้น คุณพี่เจ้าของยังกระซิบเบาๆ ว่า “100 rs for you!” แล้วขยิบตาหนึ่งที อู้ย ส่งยิ้มขอบคุณให้กว้างๆ เลยค่ะ การอาบน้ำร้อนท่ามกลางอากาศหนาวๆ และตัวที่เปียกเชอะแฉะนี่คือสวรรค์เลยค่ะ ทั้งน้ำยังร้อนสุดๆ สบายมากๆ อาบเสร็จปุ๊ป ก็รีบส่งพี่ลูกหาบไปอาบต่อเลยค่ะ พี่แกไม่ยอม พอบอกว่าจ่ายให้ แกยิ้มกว้าง พร้อมพยักหน้าแล้วรีบไปอาบน้ำเลยค่ะ
Pothana สูง 1,890 เมตร มี check post สำหรับ ACAP อย่าลืมแสดงใบ permit เพื่อลงทะเบียนนะคะ ที่นี่มีที่พักอยู่ 6-7 แห่งค่ะ ด้วยความสูงที่ต่ำกว่า 2,000 เมตร แต่มีวิวที่ดีมากๆ นะคะ มองเห็น Macchhapuchhre เต็มๆ

มองหาทริปลุยๆ มันส์ๆ + ไกด์คนไทย ? เนปาล? ทาจิกิสถาน? คีร์กีซสถาน? จอร์แดน? ศรีลังกา?
หยกจัดทริปแล้วค่ะ ปลายปี 2564 – 2565 สนใจทริปไหน คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมที่ภาพได้เลยค่ะ ไปผจญภัยกัน!
Day 13: Pothana 1,890 m – Phedi 1,125 m | นั่งรถจาก Phedi เข้า Pokhara
ไฮไลท์สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ทางเดินจาก Pothana 1,890 m ไปจนถึง Dhampus Macchapuchhre ก็เห็นสองศรีพี่น้อง Annapurna

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเทรคแล้วค่ะ เช้านี้เลยสบายๆ ไม่เร่งรีบ ไม่ออกเริ่มเดินเช้าเหมือนทุกวัน ชิวสุดๆ ค่ะ ทั้งวันนี้ท้องฟ้ายังเปิด ฟ้าแจ่มมากๆ หลังจากที่เมื่อวานนั้นมืดมัวมาทั้งวัน เป็นการสิ้นสุดการเทรคที่งดงามและประทับใจสุดๆ เลยค่ะ หยกเลยออกมานั่งทานอาหารเช้าที่โต๊ะอาหารกลางแจ้งในสวน กับวิว Macchhapuchhre สวยๆ ท่ามกลางดอกไม้สีสดหลากสี นั่งละเลียดไปทีละคำสองคำ เหมือนกับกลัวว่าอาหารจะหมด 55+ เพลินอยู่นานสองนาน จนแดดเริ่มแรงขึ้น จึงคิดว่าน่าจะได้ฤกษ์ออกเดินแล้วสินะ

ออกเริ่มเดินได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องหยุดค่ะ เพราะถึงจุดตรวจใบอนุญาตเดินป่า ACAP โดยทางเดินจากนี้ไปง่ายและสบายค่ะ ทั้งวิวยังสวยมากๆ อีกด้วย เห็นวิวหิมาลัยที่กว้างขึ้น และชัดขึ้น จากที่เห็นแค่ Macchapuchhre ก็เห็นสองศรีพี่น้อง Annapurna เลยทำให้การเดินยิ่งช้าลงไปใหญ่ เพราะหยุดบ่อยซะเหลือเกินค่ะ แล้วไม่ถึงชั่วโมงก็เข้าสู่ Dhampus หมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีถนนผ่าน ที่นี่จึงมีที่พักเยอะมากๆ ทั้งยังมีการก่อสร้างที่พักบ้านเรือนเพิ่มอีกหลายแห่ง จึงมีเสียงของเครื่องจักรดังอยู่เป็นพักๆ ให้ได้ยินอยู่แทบจะตลอดทาง ถึงแม้จะยังคงมีวิวหิมาลัยสวยๆ แต่สิ่งรอบๆ ตัวและทางเดินนั้นกลับเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่วางระเกะระกะมากมาย Dhampus ยังมี check post สำหรับการตรวจ TIMS card อีกด้วยนะคะ

โชคดีที่ยังคงมีทางเดินเทรลจาก Dhampus ไป Phedi ทำให้ไม่ต้องเดินตามถนนที่มีรถจี๊ปผ่านมากมาย ที่มีฝุ่นคลุ้งไปหมด ทางเดินประมาณ 40 – 50 นาทีจะเป็นการบอกลาด้วยขั้นบันไดที่ถึงแม้จะไม่ชันมาก แต่ก็เล่นเอาหัวเข่าสะเทือนไม่น้อย เดินไปๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงแตรรถที่ดังขึ้นๆ และเริ่มมองเห็น Phedi แล้วค่ะ โดยที่ช่วงใกล้ๆ ก่อนจะถึง Phedi จะเดินผ่านไร่สวนชาวบ้าน ที่กำลังมีการเพาะปลูกมากมาย

Phedi สูง 1,125 เมตร เป็นจุดที่มีทั้งรถประจำทาง และรถแท๊กซี่ (ใช้เวลาประมาณ 45 นาที) คอยรับเทรคเกอร์กลับ Pokhara ค่ะ
สรุป
13 วัน กับ 134.5 กิโลเมตร

เพื่อนๆ สามารถอ่าน ข้อมูลเทรคกิ้ง Mohare Khopra Trek ที่ละเอียดขึ้นได้ที่ลิ้งค์นี้ ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆ ที่ควรทราบ เช่น เส้นทางนี้อยู่ไหน มีอะไร เทรคง่ายไหม วิวเป็นแบบไหน มือใหม่ไปได้หรือเปล่า และรายละเอียดอื่นๆ อีกเพียบ
เป็นอย่างไรกันบ้าง สวยและดูน่าสนุกมากๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ คอมเม้นต์เข้ามาพูดคุย ทักทายกันเยอะๆ นะคะ และหากเพื่อนๆ ท่านใดกำลังมองหาทริปเทรคกิ้ง บนเส้นทางที่มีเอกลักษณ์ สวยงาม คนน้อย ไม่มีใครจัด และ มองหาเพื่อนเทรคกิ้งด้วย หยกจัดทริปเทรคด้วยนะคะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทริปเทรคกิ้ง เลยค่ะ ทั้งหยกยังจะมีนัดเจอ พาช้อปของเทรคกิ้งด้วยน้า ไปลุยไปเทรคกันค่ะ รับรองได้ว่าเพื่อนๆ จะต้องสนุกและประทับใจแน่นอน
สนใจอยากไปทริปเนปาล6-19พ.ย ด้วยคะ อยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่คะ
สวัสดีค่ะ คุณไพลิน
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ 🙂 ยินดีมากๆ เลยค่ะ ทริป Mohare + Khopra Trek (6-19 พ.ย. 2562) ยืนยันออกทริปแล้วด้วยค่ะ ขอต้อนรับเข้าทีมค่าา เย้ๆๆ หยกขออนุญาตส่งรายละเอียดเพิ่มเติมและพูดคุยกันต่อทางอีเมลนะคะ